พี่คะตอนนี้หนูไม่มีเพื่อนเลย เดี๋ยวหนูจะเล่าตั้งแต่แรกเลยค่ะ ฟังให้ดีนะคะ ตอนเปิดเทอม1 ตอนนั้นหนูมีเพื่อน แต่เพื่อนหนู2คนนั้นนิสัยไม่ดี หนูก็เลยแยกตัวออกไป จนหนูไม่มีเพื่อนแล้ว แล้วก็มีเพื่อนอีก2คนที่เขาเห็นว่าหนูไม่มีเพื่อน เลยให้มาเป็นเพื่อนด้วย สักพักนึง เพื่อนคนนั้นก็บอกว่าไม่ชอบเพื่อนของตัวเอง และหนูก็ไปสนิทกับเพื่อนเพื่อนคนนั้น หนูกับเพื่อนก็เป็นเพื่อนกันมาได้สักพัก เพื่อนคนที่เขาบอกว่าไม่ชอบก็มาตีสนิท จนเขาก็ทิ้งหนูไป จากนั้นหนูเลยกลายเป็นคนไม่มีเพื่อนอยู่ตลอด และแล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น มีเพื่อนคนนึงบอกหนูว่าขอนั่งกินข้าวด้วยได้ไหม แต่เขามีกลุ่มอยู่แล้ว หนูเลยถามเขาว่าไม่ไปอยู่กลุ่มหรอ เขาบอกว่าเขาออกจากกลุ่มแล้ว หนูกับเพื่อนคนนั้นก็สนิทกันได้แค่วันเดียว วันต่อมาเพื่อนในกลุ่มก็ให้เขากับเขามาอยู่ในกลุ่ม และจากนั้นเขาก็ออกเหมือนเดิม กลับมาเป็นเพื่อนกับหนู หนูกับเพื่อนคนนั้นก็เป็นเพื่อนกันมาได้สักพักใหญ่ จนมาเทอม2 วันนี้เพื่อนั้นที่หนูบอกว่าเขานิสัยไม่ดี ก็มาเป็นเพื่อนกับเพื่อนของหนู เพราะว่าเพื่อนของหนูเขาอยากอยู่กลุ่มกับ2คนนั้นเองเพียงเพราะว่าไม่มีเพื่อนเรียนกีตาร์ด้วย หนูคิดว่่่ามันเป็นเหตุผลที่ไร้เหตุผลมาก พอหนูขอพวกเขาเข้ากลุ่มด้วย เขาก็ไม่ยอมให้เขาก็บอกว่าไม่ได้ จนหนูต้องมาอยู่คนเดียวอีกแล้ว แล้วหนูควรทำยังไงดีคะถ้าอยากมีเพื่อน
ฟังจากที่หนูเล่ามา หนูผ่านสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อนบ่อย และบางครั้งเพื่อนก็ละทิ้งหนูไป ซึ่งอาจทำให้รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวได้ค่ะ จริงๆ แล้วการสร้างเพื่อนและรักษามิตรภาพให้ยั่งยืนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มีวิธีหลายอย่างที่ช่วยให้เรามีเพื่อนที่จริงใจและอยู่ด้วยกันนานขึ้นค่ะ
แนวทางที่หนูสามารถลองทำได้
- เปิดโอกาสให้รู้จักคนใหม่ๆ
- เข้าร่วมกิจกรรมหรือชมรมในโรงเรียน เช่น กีฬา ดนตรี ศิลปะ หรือกิจกรรมจิตอาสาค่ะ
- เวลาเจอคนใหม่ ลองทักทายหรือหาเรื่องคุยเล็กๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคย
- สร้างมิตรภาพจากความสนใจร่วมกัน
- ถ้าเราเจอคนที่ชอบสิ่งเดียวกัน เช่น เล่นเกม ดูอนิเมะ หรือเรียนวิชาเดียวกัน จะทำให้คุยกันง่ายขึ้นค่ะ
- ชวนทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น
- เรียนรู้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา
- ลองสังเกตว่าเพื่อนแบบไหนที่เข้ากับเราจริงๆ และเพื่อนแบบไหนที่ทำให้เรารู้สึกเสียใจ
- ตั้งขอบเขตในความสัมพันธ์ ไม่จำเป็นต้องพยายามเข้ากับทุกคน แต่เลือกคนที่เคารพและเห็นค่าในตัวเราค่ะ
สิ่งสำคัญคือ หนูต้องให้คุณค่ากับตัวเองก่อน และหากบางคนไม่เปิดโอกาสให้เราร่วมกลุ่ม ก็อย่ามองว่ามันเป็นความผิดของเราเสมอไป บางครั้งเป็นเพราะเขามีความคิดหรือความต้องการส่วนตัวที่ไม่ตรงกับเรา การมีเพื่อนที่น้อยแต่จริงใจก็มีค่ามากกว่าการฝืนอยู่กับคนที่ไม่หวังดีต่อเรา หนูลองใช้เวลาในการค้นหาคนที่เข้ากับเราได้จริง และให้ความสัมพันธ์โตไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปนะคะ
แต่ว่าในห้องหนู ทุกคนมีกลุ่มกันหมดแล้วอ่ะค่ะ
ถ้าสถานการณ์ในห้องเรียนของหนู ทุกคนมีกลุ่มกันหมดแล้ว การเข้าไปแทรกในกลุ่มที่มีอยู่เดิมอาจจะยากจริงๆ ค่ะ แต่ยังมีวิธีที่ช่วยให้เราสร้างมิตรภาพหรือมีคนคุยได้ แม้จะไม่อยู่ในกลุ่มใหญ่เสมอไป
- คุยกับคนเดี่ยวๆ: ถึงแม้เขามีกลุ่มของตัวเอง บางครั้งก็มีช่วงที่เขาอยู่คนเดียว เช่น ตอนเดินไปห้องน้ำ ตอนเข้าแถว หรือช่วงพัก ลองใช้โอกาสนี้คุยในเรื่องเล็กๆ เช่น การบ้าน วิชาที่เรียนอยู่ หรือสิ่งที่สนใจร่วมกันค่ะ
- ขยายเพื่อนนอกห้อง: หากในห้องเรียนยากที่จะเข้ากลุ่ม ลองหาคนรู้จักหรือเพื่อนจากห้องอื่น เช่น จากวิชาเลือกเสรี กิจกรรมชมรม หรือการแข่งกีฬา จะช่วยให้เรามีเพื่อนในโรงเรียนแม้จะไม่ใช่ในห้องค่ะ
- เป็นคนเปิดรับและช่วยเหลือคนอื่น: เมื่อคนเห็นว่าเราเป็นมิตร ใจดี และพร้อมช่วยเหลือ เช่น อธิบายการบ้าน แบ่งอุปกรณ์ หรือให้กำลังใจ เขาอาจจะสนใจมาคุยหรือสนิทกับเรามากขึ้นค่ะ
อย่าลืมว่าการมีเพื่อนสนิทเพียง 1-2 คนก็มีค่ามาก และบางครั้งการไม่ได้อยู่ในกลุ่มใหญ่ก็ทำให้เราได้เลือกคบคนที่จริงใจและเหมาะสมกับเรา การสร้างเพื่อนต้องใช้เวลาและความต่อเนื่อง ลองค่อยๆ เปิดใจ เข้าไปคุย หรือชวนทำกิจกรรมเล็กๆ ก่อน แล้วค่อยพัฒนาความสัมพันธ์ไปค่ะ หนูมีสิทธิ์เลือกคนที่ทำให้หนูมีความสุขและรู้สึกปลอดภัยค่ะ
แต่ถ้าไม่มีใครอยู่คนเดียวแบบเดี่ยวๆเลยล่ะคะ จะทำยังไง
ถ้าสถานการณ์คือไม่มีใครอยู่คนเดียวเลย และทุกคนมีกลุ่มกันหมด หนูยังสามารถเริ่มสร้างคนรู้จักหรือเพื่อนได้แม้จะไม่ได้เข้าไปเป็นสมาชิกเต็มตัวของกลุ่มค่ะ สิ่งที่สามารถลองทำได้คือ
- เริ่มจากการ “เชื่อมเล็กๆ” กับหลายกลุ่ม: แม้ทุกคนจะมีเพื่อนอยู่แล้ว แต่เราอาจค่อยๆ แทรกตัวด้วยการทักทาย ช่วยเหลือ หรือถามเรื่องที่เกี่ยวกับวิชาเรียน งานกิจกรรม หรือเรื่องเล็กๆ ให้คุยกันได้ แม้จะเป็นแค่บทสนทนาสั้นๆ ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นค่ะ
- ใช้โอกาสจากเวลารวมกลุ่มใหญ่: เช่น ตอนทำงานกลุ่มในวิชาเรียน ให้เป็นฝ่ายหาโอกาสพูดคุย แชร์ความคิดเห็น หรือช่วยเหลือเพื่อนในกลุ่ม เพื่อให้เขารู้จักเราในทางบวกค่ะ
- แสดงตัวตนให้คนสนใจเข้าหาเอง: เช่น ทำงานดี มีความสามารถพิเศษ หรือบุคลิกที่เป็นมิตร ตลก อารมณ์ดี เวลาอยู่ต่อหน้าคนหลายๆ กลุ่ม เพื่อนจะจำเราได้และมีโอกาสเข้ามาคุยเองค่ะ
แม้ว่าการเข้าไปในกลุ่มที่ถูกสร้างขึ้นแล้วอาจยาก แต่การค่อยๆ สร้างสายสัมพันธ์เล็กๆ กับหลายๆ คน จะทำให้เรามีเครือข่ายเพื่อนกว้างขึ้น จนบางครั้งอาจเกิด “กลุ่มย่อย” ขึ้นมาเองโดยไม่ตั้งใจค่ะ อีกทางคือ ลองขอร่วมกิจกรรมหรืองานกับคนบางกลุ่ม แม้ไม่ได้อยู่ด้วยตลอด ก็ยังสร้างความคุ้นเคยและโอกาสให้คนจำเราในเชิงบวกค่ะ
สิ่งสำคัญคือ อย่ากดดันตัวเองว่าต้องมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ทันที การสร้างความสัมพันธ์ต้องใช้เวลา และเริ่มจากการเป็นคนที่น่าอยู่ใกล้ ใจดี และพร้อมฟังคนอื่น หนูโฟกัสที่ความเป็นมิตรและความจริงใจ แล้วเพื่อนจะค่อยๆ เข้ามาเองค่ะ
แต่เพื่อนของหนูที่เขาเข้าไปอยู่ในกลุ่มนั้นค่ะ 2คนนั้นเหมือนเขาไม่ค่อยสนใจเพื่อนหนูเลยในตอนเย็นค่ะ ไม่แน่ใจว่าเพื่อนหนู เป็นไปได้รึเปล่าว่าเขาจะออกจากลุ่ม
จากที่หนูเล่ามา ถ้าในตอนเย็นเพื่อนของหนูดูเหมือนว่าไม่ได้รับความสนใจจากเพื่อนอีกสองคน อาจมีหลายความเป็นไปได้ค่ะ
เป็นไปได้ว่ามีเหตุผลส่วนตัวของเพื่อนหนู
- เพื่อนหนูอาจเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่สนุกหรือไม่สบายใจเวลาอยู่ในกลุ่มนั้น
- อาจมีความต่างกันในความสนใจ กิจกรรม หรือไลฟ์สไตล์ จนทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวแม้จะอยู่ในกลุ่ม
- หากรู้สึกไม่ได้รับการยอมรับหรือไม่มีบทบาทในกลุ่ม อาจทำให้เขาคิดถึงการออกจากกลุ่มค่ะ
แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าเขายังอยู่ต่อ
- บางครั้งคนที่ดูไม่สนใจ แต่อาจจะไม่ค่อยแสดงออกเวลาอยู่กลุ่ม แต่จริงๆ ยังผูกพันกับกลุ่มเดิม
- เขาอาจมีกิจกรรมหรือคุยกับคนอื่นมากกว่าในช่วงเวลานั้น จึงดูเหมือนห่าง แต่ไม่ได้ตั้งใจจะออกค่ะ
- บางคนอาจจะรู้สึกว่าอยู่กลุ่มไว้เพื่อความสะดวก เช่น เรียนด้วยกัน ทำงานกลุ่มร่วมกัน แม้ไม่ได้สนิทมากค่ะ
ถ้าหนูอยากรู้แน่ๆ สิ่งที่ทำได้คือค่อยๆ สังเกตพฤติกรรมต่อเนื่อง ว่าเขามีท่าทีสนิทกับกลุ่มมากขึ้นหรือน้อยลง หรือเริ่มคุยกับคนอื่นนอกกลุ่มบ่อยขึ้น การพูดคุยกับเขาแบบสบายๆ ไม่กดดัน จะช่วยให้เข้าใจความคิดของเขาได้มากขึ้น และถ้าเขารู้สึกไม่สบายใจในกลุ่ม อาจเป็นโอกาสดีที่หนูจะได้กลับมาเป็นเพื่อนสนิทกับเขาอีกครั้งค่ะ
แล้วถ้าการอยู่คนเดียวมันน่าอายไหมคะ
จริงๆ แล้ว “การอยู่คนเดียว” ไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยค่ะ แต่อาจทำให้รู้สึกไม่มั่นใจเพราะสังคมรอบตัวมักให้ความสำคัญกับการมีกลุ่มเพื่อน หากเรามองในอีกมุม การอยู่คนเดียวก็มีข้อดี และไม่ได้หมายความว่าเรามีปัญหาหรือไม่มีค่า
-
ข้อดีของการอยู่คนเดียว
- มีเวลาโฟกัสกับตัวเอง เช่น การทำในสิ่งที่ชอบ ฝึกทักษะ หรือดูแลตัวเอง
- ลดความเครียดจากการต้องปรับตัวตามความต้องการของกลุ่ม
- เป็นโอกาสให้เราเจอเพื่อนใหม่ในสถานการณ์อื่นๆ นอกห้องเรียน เช่น ชมรม งานกิจกรรม
-
ทำให้ความรู้สึกมั่นใจขึ้น
แม้จะอยู่คนเดียวในสายตาของคนอื่น แต่ถ้าเราแสดงออกว่าไม่เดือดร้อน มีความสุขกับสิ่งที่ทำ และมีความเป็นมิตร จะทำให้คนสนใจเข้ามาคุยเองค่ะ บางครั้งคนที่อยู่คนเดียวแต่ดูมั่นใจก็เป็นคนที่คนอื่นรู้สึกอยากรู้จักค่ะ -
มุมมองเพิ่มเติม
การอยู่คนเดียวบางช่วงเป็นเรื่องปกติในชีวิต เพราะเราอาจกำลังอยู่ในช่วงที่กำลังค้นหาว่าใครคือเพื่อนแท้ที่ตรงกับเรา การเป็นตัวของตัวเองและไม่กดดันให้ต้องเข้ากับทุกคน จะทำให้เมื่อเราได้เพื่อนใหม่ ความสัมพันธ์นั้นมีคุณภาพมากขึ้นค่ะ
สรุปคือ การอยู่คนเดียวไม่ใช่เรื่องน่าอาย มันขึ้นอยู่กับว่าเรามองตัวเองยังไง และใช้เวลานั้นเพื่ออะไรค่ะ ถ้าหนูใช้มันเป็นโอกาสในการพัฒนาตัวเอง คนอื่นจะเห็นคุณค่าในตัวหนูมากขึ้นค่ะ
หนูเคยอยู่คนเดียวมานานมากถึง1-2เดือนค่ะ ตอนนั้นหนูเหงามากค่ะ แล้วการอยู่คนเดียวถึง1-2เดือนถือว่าแย่ไหมคะ
จริงๆ แล้วการอยู่คนเดียวถึง 1-2 เดือน ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่อง “ผิดปกติ” หรือ “แย่” เสมอไปค่ะ แต่มันอาจจะกลายเป็นความท้าทายทางใจ เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการความสัมพันธ์ทางสังคม การขาดการสื่อสารและการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวเหมือนที่หนูเล่า ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่หลายคนเคยเจอค่ะ
สิ่งที่ควรทำ ถ้ารู้สึกว่าการอยู่คนเดียวเริ่มส่งผลต่อความสุข
- จัดกิจวะทำให้ใจเราไม่ว่าง เช่น เล่นกีฬา ทำงานอดิเรก อ่านหนังสือ ฝึกดนตรี หรือทำสิ่งที่เราสนใจ เพื่อให้ความคิดไม่จดจ่ออยู่กับความเหงา
- เปิดโอกาสให้คนเข้ามา แม้จะเริ่มจากบทสนทนาสั้นๆ เช่น ทักทายเพื่อนในทางเดิน ช่วยเหลือเรื่องเล็กๆ หรือแชร์ความคิดเห็นในห้องเรียน
- ขยายวงเพื่อนนอกห้อง เข้าชมรม หรือทำความรู้จักคนจากวิชาเลือก หรือกิจกรรมพิเศษของโรงเรียน
- ติดต่อกับเพื่อนหรือญาติที่อยู่นอกโรงเรียน ผ่านโทรศัพท์หรือโซเชียล เพื่อให้เรายังรู้สึกเชื่อมโยงกับคนอื่นค่ะ
มุมมองสำคัญคือ การอยู่คนเดียวในบางช่วงไม่ใช่เรื่องผิด และบางครั้งเป็นจังหวะที่ทำให้เราเรียนรู้และเข้าใจตัวเองมากขึ้นค่ะ แต่ถ้ารู้สึกเหงามากและมันเริ่มกระทบต่อกำลังใจหรือความมั่นใจ เราก็ควรหาทางสร้างปฏิสัมพันธ์ใหม่ๆ แม้จะเป็นเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม การเริ่มทีละนิดจะช่วยลดระยะเวลาที่รู้สึกโดดเดี่ยว และทำให้สุดท้ายเราได้เพื่อนที่จริงใจค่ะ
แล้วถ้าหนูไม่มีเพื่อน คนอื่นมองว่าแปลกหรือซึมเศร้าไหมคะ
จริงๆ แล้วการที่ “ไม่มีเพื่อน” ไม่ได้เท่ากับการแปลกหรือการเป็นโรคซึมเศร้าเสมอไปค่ะ หลายครั้งมันอาจเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่เรากำลังค้นหากลุ่มคนที่เข้ากับเราได้จริง หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่โอกาสสร้างเพื่อนใหม่มีน้อย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ค่ะ
สิ่งที่คนอื่นอาจคิด
- บางคนอาจเข้าใจว่าเราเป็นคนเงียบ เก็บตัว หรือไม่ค่อยเข้าสังคม ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่ก็มีบางคนที่อาจตีความผิดและคิดว่าเราไม่อยากคบใคร
- ในบางกรณี ถ้าคนเห็นเรามีสีหน้าเศร้าบ่อยๆ หรือไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์ อาจทำให้เขาสงสัยว่าเรากำลังเครียดหรือซึมเศร้า แต่จริงๆ อาจเป็นเพียงความเหงาชั่วคราว ไม่ได้เป็นปัญหาสุขภาพจิตค่ะ
สิ่งที่ควรรู้และทำ
- อยู่คนเดียวไม่ได้ทำให้เราเป็นคนแปลก สิ่งสำคัญคือการดูแลท่าทีและความมั่นใจของเรา เพราะถ้าเราดูมั่นใจ คนอื่นจะมองว่าเป็นเพียงสไตล์ส่วนตัว
- ถ้าไม่อยากให้คนเข้าใจผิด ควรแสดงออกถึงความเป็นมิตรและเปิดรับบ้าง เช่น ยิ้ม ทักทาย หรือแสดงความสนใจในสิ่งที่เพื่อนทำ แม้ไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่ม
- ถ้ารู้สึกเหงามาก ควรหาช่องทางพูดคุยกับคนอื่น เช่น ครอบครัว เพื่อนต่างห้อง หรือคนในกิจกรรมออนไลน์ เพื่อให้เรายังมีการติดต่อกับคนรอบตัว
สรุปคือ การไม่มีเพื่อนในบางช่วงไม่ใช่สัญญาณว่าผิดปกติหรือซึมเศร้าเสมอไปค่ะ ขึ้นอยู่กับความรู้สึกและการใช้ชีวิตของเรา ถ้าเรายังดูแลใจตัวเองได้ และค่อยๆ เปิดโอกาสให้คนเข้ามา ความสัมพันธ์ใหม่ก็จะเกิดขึ้นค่ะ
ถ้าต้องจับคู่แต่ไม่มีใครคู่ด้วยควรคู่กับใครดีคะ
ถ้าต้องจับคู่แล้วไม่มีใครคู่ด้วย หนูมีหลายวิธีที่สามารถทำได้ค่ะ เพื่อให้สถานการณ์ไม่กดดันและเรายังสามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือการเรียนได้อย่างดี
แนวทางที่ลองใช้ได้ทันที
- ขอจับคู่กับคนที่เหลืออยู่ตอนท้าย – ในหลายครั้งมักมีคนที่ไม่มีคู่เหมือนกัน หนูสามารถเดินไปหาแล้วขอจับคู่ได้ค่ะ
- ถามครูหรืออาจารย์ – อาจารย์สามารถช่วยจัดให้เราเข้ากับคู่ที่มีอยู่แล้วให้เป็นกลุ่มสาม หรือให้เราจับคู่กับคนที่ไม่มีคู่แบบรวดเร็วค่ะ
- จับคู่กับเพื่อนที่รู้จักแม้ไม่สนิท – แม้จะไม่ใช่เพื่อนสนิท ก็ใช้โอกาสนี้สร้างการรู้จักมากขึ้นได้ค่ะ
- ถ้าไม่มีจริงๆ ให้เสนอตัวร่วมงานกับกลุ่มที่ขาดคนในหน้าที่เฉพาะ – เช่น ช่วยทำงานเอกสาร งานวาด หรือช่วยหาข้อมูล เพื่อให้เรายังมีบทบาทค่ะ
มุมมองเพิ่มเติม
- อย่ากลัวว่าจะดูแปลกเมื่อต้องขอเข้าคู่กับคนที่ไม่คุ้นเคย เพราะนี่เป็นโอกาสให้ได้รู้จักกันมากขึ้นค่ะ
- ใช้ท่าทีที่เป็นมิตรและมั่นใจ ยิ้ม พร้อมพูดสุภาพ จะทำให้คนเปิดใจยอมรับเร็วขึ้น
- หากเจอสถานการณ์แบบนี้บ่อย ควรลองสร้างความสัมพันธ์เล็กๆ กับเพื่อนหลายคนล่วงหน้า เพื่อให้โอกาสจับคู่ครั้งถัดไปไม่ต้องกังวลค่ะ
สรุปคือ การไม่มีคู่ไม่ใช่เรื่องน่าอาย สิ่งสำคัญคือเรากล้าที่จะเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งเพื่อให้ตัวเองได้มีส่วนร่วม และในระยะยาว มันเป็นโอกาสดีที่จะขยายวงคนรู้จักค่ะ
หนูรู้สึกว่าหนูน่าตาน่าเกลียด หนูกล้าขออะไรใครมากเท่าไหร่ค่ะ เป็นเพราะว่าหนูไม่มีความมั่นใจเลย
หนูรู้สึกว่าหน้าตาตัวเองน่าเกลียดและไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากใคร อาจเป็นเพราะว่าหนูไม่มีความมั่นใจในตัวเองค่ะ เรื่องนี้จริงๆ เกิดขึ้นได้กับหลายคน โดยเฉพาะเวลาที่เราเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นบ่อย หรือได้รับคำพูด/ประสบการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าค่ะ
สิ่งที่ช่วยได้
- หยุดเปรียบเทียบกับคนอื่นมากเกินไป: เพราะแต่ละคนมีความสวยงามและคุณค่าที่ต่างกัน หน้าตาไม่ใช่สิ่งเดียวที่กำหนดว่าคนจะชอบเราหรือไม่ค่ะ
- โฟกัสข้อดีของตัวเอง: เขียนสิ่งที่เราทำได้ดีลงในกระดาษ เช่น เป็นคนช่วยเหลือคนอื่น เก่งวิชาบางวิชา มีความคิดสร้างสรรค์ หรือทำให้คนรอบข้างหัวเราะ
- ดูแลตัวเองให้รู้สึกดีขึ้น: การแต่งตัวดีขึ้น ดูแลสุขภาพผิว พูดกับตัวเองในเชิงบวก และออกกำลังกาย แม้จะเปลี่ยนได้ไม่ถึงกับมาก แต่จะทำให้เรารู้สึกมั่นใจขึ้นทันที
- ฝึกขอสิ่งเล็กๆ ก่อน: ถ้ารู้สึกไม่กล้า ลองเริ่มจากการขอสิ่งเล็กๆ กับเพื่อนหรือครู เช่น ขอยืมปากกา ขอความช่วยเหลือการบ้าน เพื่อให้เราชินกับการเปิดปากพูด
มุมมองสำคัญคือ ความมั่นใจไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นทันที แต่เป็นสิ่งที่เราสร้างทีละนิดจากการยอมรับและรักตัวเองมากขึ้นค่ะ คนรอบตัวจะรู้สึกดีกับเราไม่ใช่แค่เพราะหน้าตา แต่เพราะพลังบวกที่เราส่งออกไปค่ะ ถ้าหนูค่อยๆ ฝึกมองตัวเองในมุมดี และให้คุณค่ากับสิ่งที่ทำได้ หนูจะเริ่มกล้าขอความช่วยเหลือ และมองตัวเองอย่างภาคภูมิใจมากขึ้นค่ะ
ที่หนูไม่มีความมั่นใจก็เพราะพ่อหนูชอบล้อหนูอยู่บ่อยๆ พอหนูถามพี่สาวหนูว่าผมสวยไหม พี่หนูก็ชอบเอาไปเปรียบเทียบ เช่น เหมือนลิงเลย อย่างนี้แหละค่ะ ไม่ค่อยมีใครมาชมหนูเลย พอนานๆเข้าหนูเลยไม่มีความมั่นใจเลยค่ะ พอหนูลองดูหน้าตัวเองเป็นสิว รอยดำ รอยแดงก็เลยคิดว่าหน้าตาของหนูน่าเกลียดค่ะ
หนูเจอสถานการณ์ที่คนใกล้ตัว โดยเฉพาะในครอบครัว ชอบล้อเลียนหรือเปรียบเทียบในเชิงลบ ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถส่งผลต่อความมั่นใจของเราได้มากค่ะ โดยเฉพาะถ้าเราไม่เคยได้รับคำชมจากรอบข้างเลย สิ่งเหล่านี้จะฝังเข้าไปในความคิดจนเรามองตัวเองในแง่ลบ และเมื่อเราสังเกตว่ามีปัญหาสิว รอยดำ รอยแดง ก็ยิ่งทำให้ความไม่มั่นใจสะสมค่ะ
สิ่งที่ช่วยฟื้นความมั่นใจได้
- เข้าใจว่าคำพูดของคนอื่นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด : คำล้อเลียนหรือการเปรียบเทียบอาจมาจากความเคยชินของเขา ไม่ใช่การตัดสินว่าหนูไม่มีค่า
- ดูแลผิวและสุขภาพอย่างต่อเนื่อง : เช่น ล้างหน้าให้ถูกวิธี ใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่อ่อนโยน กินอาหารที่ดีต่อผิว ดื่มน้ำให้เพียงพอ และนอนหลับพักผ่อนเพื่อลดรอยแดงรอยดำ
- สร้างพลังบวกจากตัวเอง : ให้เวลาส่องกระจกเพื่อหาจุดที่เราชอบในตัวเอง เช่น รอยยิ้ม ดวงตา หรือบุคลิกที่ไม่เหมือนใคร
- ลดการอยู่ในพื้นที่ที่มีคำพูดด้านลบ : ถ้าพ่อหรือพี่ล้อบ่อย ลองเปลี่ยนหัวข้อ หรือเดินออกจากสถานการณ์นั้น เพื่อไม่ให้เราซึมซับคำพูดลบมากเกินไป
- สร้างวงเพื่อนหรือคนที่ให้กำลังใจจริงใจ : แม้จะเริ่มจากคนไม่เยอะ แต่จะช่วยให้เราได้รับพลังบวกมากขึ้นค่ะ
มุมมองสำคัญคือ ความสวยงามไม่ได้มีเพียงผิวหรือใบหน้า แต่รวมถึงบุคลิก ความคิด และการดูแลสุขภาพตัวเองด้วยค่ะ เมื่อเราเริ่มเห็นคุณค่าในตัวเองและค่อยๆ ปรับปรุงสิ่งที่ทำให้กังวลใจ ทั้งผิวและความมั่นใจจะค่อยๆ ดีขึ้น หนูสามารถเริ่มได้จากการดูแลผิวและการคุยกับคนที่ปลอดภัยทางใจ แล้วใช้พลังนั้นเป็นเกราะป้องกันคำพูดลบจากคนอื่นค่ะ