ไข้เลือดออก เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ยุงลายเป็นพาหะในการแพร่เชื้อไปสู่คน การรู้จักวิธีการรักษาและการดูแลตัวเองที่ถูกต้องจะช่วยให้ผู้ป่วยหายได้เร็วขึ้น แต่หากอาการรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยอาจต้องรักษาโดยด่วน ดังนั้น บทความนี้จะพาคุณมาทำความรู้จักกับวิธีการรักษาไข้เลือดออกให้หายเร็วขึ้น และอาการแบบไหนที่ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ไข้เลือดออกเกิดจากอะไร?
โรคไข้เลือดออกมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรคที่สำคัญ โดยเชื้อไวรัสเดงกีมีอยู่ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 เมื่อยุงลายมีเชื้อไวรัสเดงกีอยู่ในตัวกัดคน เชื้อไวรัสจะเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ที่ถูกกัด ทำให้เกิดการติดเชื้อและป่วยเป็นไข้เลือดออก ซึ่งอาการของโรคไข้เลือดออกมีตั้งแต่ไม่รุนแรงไปจนถึงรุนแรงมาก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ [1]
อาการของไข้เลือดออก [1,2]
อาการของไข้เลือดออกมักเริ่มต้นด้วยอาการที่คล้ายไข้หวัดทั่วไป ได้แก่
- ไข้สูง 38-40 องศา
- ปวดหัวรุนแรง
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อ
- อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง
- มีผื่นขึ้นที่ผิวหนัง
- เจ็บท้อง
- อาเจียน
- มีเลือดออก เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน หรือเลือดออกจากที่ต่างๆ
อาการเหล่านี้สามารถรุนแรงขึ้นได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในกรณีที่มีภาวะเลือดออกหรือช็อก (Dengue Shock Syndrome) การดูแลรักษาอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ใครบ้างที่เป็นกลุ่มเสี่ยงไข้เลือดออก? [1]
กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเป็นไข้เลือดออกและอาจมีอาการรุนแรง ได้แก่
- เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี และผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว
- ผู้ที่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน
- หญิงตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีภาวะอ้วน
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด, โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคไต เป็นต้น
- ผู้ที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยง เช่น บริเวณที่มีการระบาดของโรคหรือพื้นที่ที่มียุงลายชุกชุม เป็นต้น
วิธีการรักษาไข้เลือดออก [1,2,3]
ปัจจุบันยังไม่มียาที่รักษาไข้เลือดออกให้หายได้โดยตรง การรักษาส่วนใหญ่จึงเน้นไปที่การดูแลตามอาการ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วที่สุด โดยทั่วไปแล้วอาการก็จะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 2-7 วัน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคในแต่ละคน หากพบว่าตัวเองมีอาการไข้เลือดออกและต้องการหาวิธีการรักษาให้หายเร็ว สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้
- พักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น
- รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย มีประโยชน์ จะช่วยฟื้นฟูร่างกายได้ดี
- ดื่มน้ำเปล่ามากๆ หรือน้ำเกลือแร่ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
- หากมีไข้สูง เช็ดตัวลดไข้ด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิปกติอย่างสม่ำเสมอ
- รับประทานยาพาราเซตามอล เพื่อลดไข้และบรรเทาอาการปวด แต่ห้ามใช้ยาแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน เพราะอาจทำให้เลือดออกมากขึ้น
- หมั่นสังเกตอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เช่น ไข้สูงต่อเนื่อง, อาเจียนบ่อย, ปวดท้องรุนแรง ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์ [4]
หากพบว่าผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลทันทีเพื่อรับการรักษา
- ไข้ลดลงแต่อาการไม่ดีขึ้น ยังคงมีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง หรือมีอาการซึม
- ปวดท้องอย่างรุนแรง
- อาเจียนบ่อยมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน
- เวียนศีรษะ หน้ามืด จะเป็นลม
- มือและเท้าเย็น
- ชีพจรเต้นเบาและเร็ว
- ปัสสาวะลดลงหรือไม่ปัสสาวะภายใน 4-6 ชั่วโมง
- เลือดออกผิดปกติ โดยเฉพาะภาวะเลือดออกในบริเวณเยื่อเมือกต่างๆ เช่น เลือดกำเดาไหล, ถ่ายอุจจาระสีดำ, อาเจียนเป็นเลือดหรือประจำเดือนมานอกรอบหรือมามากผิดปกติ เป็นต้น
วิธีการป้องกันไข้เลือดออก
ไข้เลือดออกเป็นโรคที่ป้องกันได้ โดยการลดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย และป้องกันตนเองไม่ให้ยุงกัด ซึ่งมีแนวทางง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถทำได้ ดังนี้
1. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย [1]
- ปิดฝาภาชนะเก็บน้ำ เช่น ปิดฝาโอ่ง ถังน้ำ หรือภาชนะอื่นๆ ที่ใช้เก็บน้ำให้มิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายลงไปวางไข่
- เปลี่ยนน้ำในภาชนะต่างๆ เช่น เปลี่ยนน้ำในแจกันดอกไม้ กระถางต้นไม้ หรือภาชนะอื่นๆ ที่มีน้ำขัง อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
- ล้างทำความสะอาดภาชนะที่ใส่น้ำเป็นประจำ เพื่อกำจัดไข่ยุงลายที่อาจติดอยู่
2. ป้องกันตนเองไม่ให้ยุงกัด [1]
- สวมใส่เสื้อผ้าแขนยาวและกางเกงขายาว เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด
- ใช้ยากันยุง เพื่อป้องกันยุงกัด
- นอนในมุ้ง เพื่อป้องกันยุงกัดขณะนอนหลับ
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มียุงลายชุกชุม
3. การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก
- การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก เป็นอีกวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อไข้เลือดออกแต่การใช้วัคซีนนี้ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้รับวัคซีนไม่เคยติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกมาก่อน [1]
ที่มาของข้อมูล:
- โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์: "โรคไข้เลือดออก ภัยร้ายจากยุงลาย”.
- โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา : “อาการ และวิธีรักษาโรคไข้เลือดออก”.
- คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล: “รู้ทัน ป้องกัน “ไข้เลือดออก” นักฆ่าในหน้าฝน”.
- โรงพยาบาลวัฒนา: “โรคไข้เลือดออก”.
“ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นสำหรับประชาชนเป็นการทั่วไปโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการให้ข้อมูลเท่านั้น ข้อมูลนี้ไม่ควรถูกนำไปใช้เพื่อวินิจฉัยหรือรักษาปัญหาสุขภาพหรือโรคใด ๆ การให้ข้อมูลดังกล่าวนี้ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการทดแทนการปรึกษากับผู้ให้บริการทางการแพทย์ โปรดปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ของท่านสำหรับคำแนะนำเพิ่มเติม”
C-ANPROM/TH/DENV/0768: MAY 2025