ไข้เลือดออกเป็นโรคที่พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน และยังคงมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ทุกปี เมื่อลูกหลานหรือคนในบ้านป่วย หลายคนจึงเกิดความกังวล กลัวว่าอาการจะรุนแรง แต่ที่จริงแล้วหากได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง ผู้ป่วยจะสามารถหายจากโรคนี้ได้โดยไม่เป็นอันตราย บทความนี้จึงจะชวนทุกคนมาดูวิธีสังเกตอาการ ให้รู้ทันสัญญาณอันตราย รวมถึงวิธีการดูแลผู้ป่วยอย่างไรให้ปลอดภัยจนหายดี
ทำความรู้จัก ไข้เลือดออก
ไข้เลือดออก เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี ไม่สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้โดยตรง แต่มียุงเป็นพาหะ เมื่อยุงกัดคนที่ติดเชื้อแล้วไปกัดคนอื่นต่อ เชื้อไวรัสก็แพร่กระจายเข้าสู่ร่างกาย โดยมีระยะฟักตัวประมาณ 5 - 8 วัน จึงแสดงอาการ ซึ่งจะมีความรุนแรงต่างกัน ผู้ป่วยบางรายก็มักจะไม่มีอาการอะไรเลย หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ในขณะที่บางรายอาจมีอาการรุนแรง เกิดภาวะช็อก และเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อน หรือกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีโรคประจำตัว จึงควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ [1,4]
วิธีสังเกตอาการไข้เลือดออกเบื้องต้น [6]
อาการไข้เลือดออกเบื้องต้นสามารถสังเกตอาการได้ ดังนี้
- มีไข้สูงเฉียบพลัน 38.5 - 40 องศาเซลเซียส
- อ่อนเพลีย
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและปวดข้อ
- ปวดศีรษะ
- ปวดเบ้าตา
- อาจมีผื่นแดงขึ้นตามแขน ขา ลำตัว
ถ้าหากมีอาการเหล่านี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและรักษาอย่างเหมาะสม เพราะไข้เลือดออกอาจทำให้เกิดอาการรุนแรงและอันตรายถึงชีวิตได้
อาการของไข้เลือดออกมีกี่ระยะ?
อาการของโรคไข้เลือดออกสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ
1. ระยะไข้
ระยะนี้จะกินเวลาประมาณ 2 - 7 วัน ผู้ป่วยมักมีอาการไข้ขึ้นแบบเฉียบพลัน อุณหภูมิร่างกายสูง 38 - 40 องศาเซลเซียส ตามมาด้วยอาการอื่นๆ ที่คล้ายกับไข้หวัด เช่น ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร แต่ไม่มีน้ำมูก หรืออาการไอ และอาจมีผื่นแดงเป็นจุดเล็กๆ ตามตัว [5]
2. ระยะวิกฤต
มักเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 5 - 7 ของการเป็นไข้ แต่บางรายก็อาจเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 3 กินระยะเวลาประมาณ 24 - 48 ชั่วโมง อาการไข้จะลดลง แต่เป็นช่วงอันตรายที่ต้องเฝ้าระวัง เพราะอาจเกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำ หรือมีการรั่วของพลาสมา ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้อง ท้องอืด กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ปัสสาวะออกน้อย ในรายที่รุนแรงอาจเกิดเลือดออกในทางเดินทางอาหาร และภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่เป็นอันตรายถึงชีวิต [5]
3. ระยะฟื้นตัว
เมื่อผ่านพ้นช่วงระยะไข้ หรือระยะวิกฤตมาแล้ว ผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกสบายตัวมากขึ้น อุณหภูมิร่างกายเป็นปกติ มีความอยากอาหาร แต่อาจยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ้าง พบจุดสีขาวบนผื่นแดง ซึ่งจะค่อยๆ หายไปเองใน 1 สัปดาห์ [5]
การดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออกที่บ้าน [1,2]
- ให้ผู้ป่วยพักผ่อนมากๆ หลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอก หรือทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงเยอะ
- วัดไข้เป็นระยะ และเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น หรือน้ำอุณหภูมิห้อง เพื่อให้ไข้ลดลง
- หากไข้สูงเกิน 38.5 องศา หรือมีอาการปวดศีรษะมาก ให้ทานยาพาราเซตามอลทุก 4 - 6 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงการทานยาถี่กว่า 4 ชั่วโมง และห้ามใช้ยาแอสไพริน, ยาในกลุ่ม NSAIDs หรือยาสเตียรอยด์ เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกผิดปกติ
- ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากการเป็นไข้
- หากผู้ป่วยทานอาหารได้น้อย มีอาการอาเจียน หรือท้องเสีย ให้ดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย
- รับประทานอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย และรสไม่จัด เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ซุป แกงจืด
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสีดำ แดง หรือน้ำตาล เพราะจะทำให้สังเกตอาการเลือดออกในทางเดินอาหารได้ยาก
- หากพบว่ามีอาการผิดปกติ เช่น ไข้ลดแล้วแต่ยังมีอาการอ่อนเพลีย ซึม ปวดท้อง อาเจียน มือเท้าเย็น มีจ้ำเลือดที่ผิวหนัง เลือดกำเดาไหล อุจจาระเป็นสีดำ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
วิธีการป้องกันไข้เลือดออกในบ้าน [1,3,5]
- ภาชนะที่มีน้ำขัง เช่น ตุ่มใส่น้ำ ควรหาฝามาปิดให้มิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงไปวางไข่ หากเป็นภาชนะที่มีขนาดเล็ก เช่น แจกัน ถ้วยรองขาตู้ จานรองกระถางต้นไม้ ควรหมั่นเปลี่ยนน้ำเป็นประจำ
- กำจัดขยะที่อาจเป็นแหล่งน้ำขัง เช่น ขวดน้ำหรือเก็บสิ่งของหรือภาชนะที่สามารถรองน้ำได้ให้มิดชิด อาจจะหาฝามาปิด หรือวางคว่ำไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดน้ำขังเวลาฝนตก
- ป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด โดยการสวมเสื้อผ้ามิดชิด เช่น เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ถุงเท้า หรือทายากันยุง
- ติดมุ้งลวดที่หน้าต่าง ประตู หรือนอนในมุ้ง
- การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก โดยปัจจุบันมี 2 แบบ คือ ชนิดฉีด 2 เข็ม และ 3 เข็ม จะช่วยป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ 4 สายพันธุ์ ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อ และลดความรุนแรงจากโรคไข้เลือดออก
สิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อคนในบ้านเป็นไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกไม่ใช่โรคติดต่อ และเชื้อไวรัสเดงกีก็ไม่แพร่กระจายผ่านการไอ จาม น้ำมูก หรือน้ำลาย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องแยกห้องพัก หรือข้าวของเครื่องใช้ของใช้ผู้ป่วย เพียงจัดให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนในห้องที่อากาศถ่ายเทสะดวก ปลอดยุง คอยดูแล พาไปพบแพทย์ตามนัด และเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากดูแลตัวเองหรือคนในบ้านอย่างถูกวิธี จะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว ลดความเสี่ยงในการเกิดอันตรายจากภาวะแทรกซ้อนได้ [7,8]
ที่มาของข้อมูล :
- โรงพยาบาลเด็กสินแพทย์: “โรคไข้เลือดออก”.
- คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล: “ไข้เลือดออก มีวิธีรักษาและดูแลตัวเองอย่างไร ไม่ให้ช็อก !”.
- คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่: “แพทย์ มช. เตือนประชาชน ระวังโรคไข้เลือดออกระบาดช่วงหน้าฝน”.
- สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย: “โรคไข้เลือดออก (Dengue)”.
- โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์: “โรคไข้เลือดออก ภัยร้ายจากยุงลาย”.
- คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล: “อาการโรคไข้เลือดออก รู้ทัน ! สัญญาณเตือน พร้อมวิธีดูแลรักษา”.
- กรมควบคุมโรค: “ไข้เด็งกี่ (Dengue)”.
- โรงพยาบาลวัฒนา: “โรคไข้เลือดออก”.
“ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นสำหรับประชาชนเป็นการทั่วไปโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการให้ข้อมูลเท่านั้น ข้อมูลนี้ไม่ควรถูกนำไปใช้เพื่อวินิจฉัยหรือรักษาปัญหาสุขภาพหรือโรคใด ๆ การให้ข้อมูลดังกล่าวนี้ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการทดแทนการปรึกษากับผู้ให้บริการทางการแพทย์ โปรดปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ของท่านสำหรับคำแนะนำเพิ่มเติม”
C-ANPROM/TH/DENV/0770: MAY 2025