หลายคนอาจคิดว่าไข้เลือดออกเป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็ก แต่ความจริงแล้วคนวัยทำงานก็เสี่ยงไม่แพ้กัน! [2]
ด้วยไลฟ์สไตล์ของคนวัยทำงานที่ต้องออกไปทำงานทุกวัน ซึ่งคุณอาจไม่รู้ตัวว่ายุงลายนั้นซุ่มอยู่รอบตัวและพร้อมแพร่เชื้อได้ทุกเมื่อ ถ้าหากติดเชื้อขึ้นมา อาการอาจรุนแรงกว่าที่คิดและอาจถึงขั้นต้องหยุดงานยาว
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณห่างไกลจากภัยเงียบที่มาพร้อมกับยุงลายได้
ไข้เลือดออกคืออะไร แพร่กระจายได้อย่างไร?
ไข้เลือดออก หรือ Dengue Fever เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) โดยมียุงลายเพศเมียเป็นพาหะนำโรค มักพบได้บ่อยในพื้นที่เขตร้อนและเขตอบอุ่น โดยเฉพาะในเอเชีย ซึ่งมีผู้ป่วยคิดเป็นร้อยละ 70 ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด [1]
โรคนี้มักจะแพร่ระบาดมากขึ้นในช่วงฤดูฝน เนื่องจากมีน้ำขังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย ซึ่งในประเทศไทยไข้เลือดออกมักพบการระบาดสูงในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม [2]
โดยปัจจุบันพบว่าเชื้อไวรัสเดงกีมี 4 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ที่ 1, 2, 3 และ 4 ถ้าหากติดเชื้อจากสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานสายพันธุ์นั้น แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะติดเชื้อจากสายพันธุ์อื่นได้อีก1
สำหรับการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสเดงกีจะแพร่กระจายผ่านยุงลายบ้าน (Aedes Aegypti) และยุงลายสวน (Aedes Albopictus) ที่กัดคนที่มีเชื้อไวรัสในกระแสเลือด เมื่อยุงได้รับเชื้อแล้ว จะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 8-12 วัน จากนั้นจะสามารถแพร่เชื้อไปยังคนอื่นได้ [1]
ส่วนคนที่ถูกยุงลายที่มีเชื้อไวรัสกัดจะใช้เวลาประมาณ 4-7 วัน (บางกรณีอาจนานถึง 14 วัน) ถึงจะแสดงอาการออกมา และในบางรายอาจไม่แสดงอาการแต่ยังแพร่เชื้อให้กับยุงตัวอื่นที่มากัดได้ [1]
แม้ว่าในอดีตโรคไข้เลือดออกจะพบมากในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี แต่ปัจจุบันโรคไข้เลือดออกสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ดังนั้น ความเชื่อที่ว่า ไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดเฉพาะในเด็กจึงไม่เป็นความจริงเสมอไป [2]
สาเหตุที่ทำให้คนวัยทำงานเสี่ยงเป็นไข้เลือดออก
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า โรคไข้เลือดออกสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ไม่เพียงเฉพาะแต่เด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ปีเท่านั้น ซึ่งกลุ่มคนวัยทำงานก็ถือว่ามีความเสี่ยงมากเช่นกัน โดยสาเหตุที่ทำให้คนวัยทำงานเสี่ยงเป็นไข้เลือดออก มีดังนี้
- สภาพแวดล้อมในการทำงาน คนวัยทำงานมักใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในออฟฟิศ โรงงาน หรือสถานที่ทำงานอื่นๆ โดยไม่ทันสังเกตว่าสภาพแวดล้อมเหล่านี้อาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายได้ หากมีมุมอับที่อากาศไม่ถ่ายเท หรือมีภาชนะที่มีน้ำขัง เช่น แจกัน, ถังน้ำ หรือรางระบายน้ำที่ไม่ได้รับการดูแล ยุงลายอาจมีการเพาะพันธุ์และทำให้สถานที่ทำงานกลายเป็นจุดแพร่ระบาดของไข้เลือดออกได้โดยไม่รู้ตัว [3]
- พฤติกรรมเสี่ยงของคนวัยทำงาน คนวัยทำงานมักมีพฤติกรรมบางอย่างที่เสี่ยงต่อการถูกยุงลายกัด เช่น เดินทางไปทำงานตอนเช้าและกลับบ้านช่วงเย็น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยุงลายออกหากินมากที่สุด [6] รวมถึงการทำงานในพื้นที่ที่ยุงลายชุกชุมและปล่อยให้ยุงลายกัดโดยไม่มีการป้องกัน
- ภูมิคุ้มกันที่ลดลงและภาวะสุขภาพ คนวัยทำงานส่วนใหญ่มักมีความเครียดจากการทำงานและพักผ่อนไม่เพียงพอ สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอและส่งผลให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อไวรัสเดงกีได้ไม่ดีเท่าที่ควร นอกจากนี้ คนวัยทำงานที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคตับ, โรคไต หรือภาวะน้ำหนักเกิน ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไข้เลือดออกที่รุนแรงได้ง่ายด้วย [7]
- ปัจจัยอื่นๆ เช่น การขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันโรคไข้เลือดออก ทำให้คนวัยทำงานไม่เห็นถึงความสำคัญของการป้องกันยุงลาย เช่น การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง, การใช้มุ้งลวด หรือการใช้สารไล่ยุง นอกจากนี้การไม่เข้าถึงบริการสาธารณสุขหรือรับการฉีด วัคซีนป้องกันไข้เลือดออกก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและการแพร่ระบาดของโรคได้ด้วย [8]
ดังนั้น การปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงาน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคไข้เลือดออกจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงในกลุ่มคนวัยทำงานได้เป็นอย่างดี
อาการของโรคไข้เลือดออก
คนที่เป็นโรคไข้เลือดออกครั้งแรกกว่า 80% มักจะไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเริ่มแรกที่ไม่รุนแรง เหมือนไข้หวัดธรรมดา แต่ถ้าหากผ่านไปแล้วประมาณ 4-10 วัน อาจเริ่มมีอาการแสดงขึ้นมาเรื่อยๆ โดยอาการของโรคไข้เลือดออกจะแบ่งเป็น 3 ระยะ [9] ดังนี้
- ระยะไข้สูง (Febrile Phase) ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเฉียบพลัน ติดต่อกัน 2-7 วัน และมักมีอาการปวดศีรษะ หน้าแดง ปวดเบ้าตา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ และอาเจียน บางคนอาจมีผื่นแดงหรือจุดเลือดออกตามผิวหนังร่วมด้วย [3,4]
- ระยะวิกฤต (Critical Phase) พอไข้ลดลงผู้ป่วยก็อาจมีอาการที่แย่ลง เช่น ปวดท้องรุนแรง, คลื่นไส้, อาเจียนต่อเนื่อง, เลือดกำเดาไหล, เลือดออกตามไรฟัน หรืออาเจียนเป็นเลือด และในบางคนอาจถึงขั้นเกิดภาวะช็อก ซึ่งกรณีนี้ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน [3,4]
- ระยะฟื้นตัว (Recovery Phase) ผู้ป่วยจะเริ่มฟื้นตัวหลังจากผ่านระยะวิกฤตมาแล้ว โดยรวมอาการทั่วไปจะดีขึ้น ไข้ลดลง และเริ่มมีความอยากอาหาร แต่อาจมีผื่นแดงสากๆ เป็นวงสีขาวขึ้นตามร่างกายซึ่งเป็นสัญญาณของการฟื้นตัว [4]
สิ่งที่น่ากลัวของโรคไข้เลือดออกคือ ถ้าหากเป็นโรคไข้เลือดออกครั้งที่ 2 และติดเชื้อไวรัสเดงกีที่ต่างจากสายพันธุ์เดิมที่เคยเป็นในครั้งแรก อาการของโรคไข้เลือดออกครั้งที่ 2 อาจหนักและรุนแรงมากขึ้น [8] เพราะฉะนั้นการป้องกันโรคไข้เลือดออกตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
วิธีป้องกันโรคไข้เลือดออกสำหรับคนวัยทำงาน
การป้องกันโรคไข้เลือดออกในกลุ่มคนวัยทำงานเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมประจำวันอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการติดเชื้อง่ายขึ้น ดังนั้น การป้องกันอย่างเหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคไข้เลือดออกได้เป็นอย่างดี
การป้องกันตัวเองจากยุงกัด
วิธีป้องกันโรคไข้เลือดออกด้วยการไม่ให้ตัวเองถูกยุงกัดเป็นสิ่งแรกที่ควรทำ ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด ใช้ยาทากันยุงที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะช่วงกลางวันที่ยุงลายมักออกหากิน ส่วนตอนกลางคืนควรนอนในมุ้งหรือติดตั้งมุ้งลวดในที่พักอาศัยเพื่อป้องกันยุงลายไม่ให้เข้ามาในที่พักอาศัย [5]
การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
ควรสำรวจและกำจัดแหล่งน้ำขังที่อาจเป็นที่วางไข่ของยุงลาย เช่น ภาชนะเก็บน้ำที่ไม่มีฝาปิด, ยางรถยนต์เก่า, กระถางต้นไม้ หรือปิดฝาภาชนะเก็บน้ำให้มิดชิด นอกจากนี้ การปล่อยปลากินลูกน้ำในบ่อหรืออ่างน้ำ การเปลี่ยนน้ำในแจกันหรือภาชนะใส่น้ำทุกๆ 7 วัน และการขัดทำความสะอาดภาชนะเพื่อกำจัดไข่ของยุง ก็สามารถช่วยป้องกันไม่ให้เกิดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้เช่นกัน [3,5]
การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก
การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโรคได้ โดยปัจจุบันการฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกที่ใช้ในประเทศไทยมีด้วยกัน 2 ชนิด คือ
- วัคซีนไข้เลือดออกชนิด 3 เข็ม วัคซีนชนิดนี้สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6-45 ปี โดยจะฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ห่างกัน 6 เดือน แต่วัคซีนชนิดนี้จะฉีดได้เฉพาะคนที่เคยเป็นไข้เลือดออกมาแล้วเท่านั้น [10]
- วัคซีนไข้เลือดออกชนิด 2 เข็ม วัคซีนชนิดนี้สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4 ปีขึ้นไป โดยจะฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน สามารถฉีดได้ทั้งคนที่คนเป็นไข้เลือดออกมาแล้วหรือยังไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน [10]
การป้องกันโรคไข้เลือดออกไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคน โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่ต้องดูแลตัวเองและสภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการป้องกันตัวเองจากการถูกยุงกัด การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย และการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
การปฏิบัติตามมาตรการเหล่านี้อย่างเคร่งครัด จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสเดงกี ป้องกันการป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก ทั้งตัวเอง ครอบครัว และเพื่อนร่วมงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มาของข้อมูล
- กรมควบคุมโรค: “ไข้เด็งกี่ (Dengue)”.
- กรมควบคุมโรค: “รายงานพยากรณ์โรคไข้เลือดออก ปี 2562”.
- กรมควบคุมโรค: “คู่มือรู้ทันโรคและภัยสุขภาพสำหรับประชาชน”.
- รามาแชนแนล: “ไข้เลือดออก มีวิธีรักษาและดูแลตัวเองอย่างไร ไม่ให้ช็อก!”.
- รามาแชนแนล: “อาการโรคไข้เลือดออก รู้ทัน ! สัญญาณเตือน พร้อมวิธีดูแลรักษา”.
- สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย: “โรคไข้เลือดออก (Dengue)”.
- Rentokil: “What is Dengue Fever?”.
- WHO: “Dengue and severe dengue”.
- โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน: “ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever)”.
- สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย: “ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย แนะนำโดย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย 2568”.
“ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นสำหรับประชาชนเป็นการทั่วไปโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการให้ข้อมูลเท่านั้น ข้อมูลนี้ไม่ควรถูกนำไปใช้เพื่อวินิจฉัยหรือรักษาปัญหาสุขภาพหรือโรคใด ๆ การให้ข้อมูลดังกล่าวนี้ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการทดแทนการปรึกษากับผู้ให้บริการทางการแพทย์ โปรดปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ของท่านสำหรับคำแนะนำเพิ่มเติม”
C-ANPROM/TH/DENV/0775: MAY 2025