ค่าใช้จ่ายและสิทธิการรักษาไข้เลือดออกในประเทศไทย: ตรวจวินิจฉัยและรักษาครบทุกขั้นตอน

ไข้เลือดออกไม่ใช่แค่โรคที่เกิดจากยุงลายตัวเล็กๆ เท่านั้น แต่เป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตผู้คนมาแล้วนับไม่ถ้วน ในทุกปีเมื่อถึงฤดูฝน [1] ข่าวการระบาดของโรคไข้เลือดออกจะเห็นได้บ่อยตามสื่อต่างๆ การรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการตรวจวินิจฉัยและการรักษาจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือหากโรคนี้มาเยือนคนใกล้ตัว

ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนมาสำรวจค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ในการตรวจและรักษาไข้เลือดออกในแต่ละระดับของอาการ ตั้งแต่อาการไม่รุนแรงไปจนถึงภาวะแทรกซ้อนที่ต้องรักษาใน ICU รวมถึงสิทธิการรักษาที่คุณสามารถใช้ได้

ค่าใช้จ่ายในการตรวจวินิจฉัยโรคไข้เลือดออก

การตรวจวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกมีหลายวิธี โดยทั่วไปแพทย์จะเริ่มจากการส่งตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด หรือที่เรียกว่า CBC (Complete Blood Count) เพื่อประเมินปริมาณเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด

นอกจากนี้ยังมีการตรวจหาแอนติเจนของไวรัสเดงกี (Dengue NS1 Antigen) ซึ่งสามารถตรวจพบเชื้อได้ในระยะแรกของการติดเชื้อ โดยค่าใช้จ่ายอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละสถานพยาบาลและวิธีการตรวจ ส่วนมากมักจะเริ่มที่ 160 บาทขึ้นไป [3]

ค่ารักษาโรคไข้เลือดออกในกรณีที่อาการไม่รุนแรง

ผู้ป่วยไข้เลือดออกที่มีอาการไม่รุนแรงและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล มักจะได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยนอก ซึ่งรวมถึงการให้ยาลดไข้ การดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ โดยค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ป่วยไข้เลือดออกกรณีนี้จะขึ้นอยู่กับค่ายา ค่าบริการของแต่ละสถานพยาบาล และนโยบายของแต่ละแห่ง ส่วนมากมักจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 150-1,000 บาท [1]

ค่ารักษาโรคไข้เลือดออกกรณีที่ต้องนอนโรงพยาบาล

ถ้าผู้ป่วยไข้เลือดออกมีอาการรุนแรงขึ้นและจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งการรักษาตัวในโรงพยาบาลอาจรวมถึงการให้สารน้ำเกลือทางหลอดเลือด การเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม และยังรวมถึงค่าห้องพัก

สำหรับค่ารักษาโรคไข้เลือดออกกรณีที่ต้องนอนโรงพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ​ 40,000 บาทขึ้นไป คำนวณจากการนอนโรงพยาบาล 3 วัน2 อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในกรณีนี้อาจแตกต่างกันไปตามสถานพยาบาลและนโยบายของแต่ละแห่ง ผู้ป่วยควรสอบถามรายละเอียดและค่าใช้จ่ายจากสถานพยาบาลก่อนเข้ารับการรักษา

สิทธิการรักษาไข้เลือดออก

ในประเทศไทย ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกสามารถใช้สิทธิการรักษาตามระบบประกันสุขภาพที่มีอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) หรือคนที่อยู่ในระบบประกันสังคม ซึ่งครอบคลุมการรักษาโรคไข้เลือดออก รวมถึงภาวะแทรกซ้อน โดยผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย [4]

นอกจากนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยังยืนยันว่าผู้ป่วยไข้เลือดออกที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงสามารถเข้ารับการรักษาโดยใช้เครื่องพยุงการทำงานของปอดและหัวใจได้ ถ้าหากแพทย์พิจารณาแล้วว่าจำเป็น โดยสิทธิการรักษานี้จะครอบคลุมอยู่ภายใต้ระบบบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าเช่นกัน [4,5]

ไข้เลือดออกอาจดูเหมือนเป็นโรคที่เกิดขึ้นทุกปี แต่ผลกระทบของมันรุนแรงกว่าที่คิด อีกทั้งการรักษาโรคไข้เลือดออกยังมีค่าใช้จ่ายที่สูง ยิ่งถ้าปล่อยให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ค่าใช้จ่ายอาจสูงเกินกว่าจะรับไหว ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

การหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกยุงกัด เป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ โดยการสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด ติดมุ้งลวดที่ประตู หน้าต่าง ดูแลบ้านและสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยจากยุงลาย

การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง อย่าปล่อยให้มีน้ำขัง มีมุมอับชื้น ที่ยุงลายจะมาวางไข่ได้

การฉีดวัคซีนไข้เลือดออก ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ทุกสายพันธุ์ อีกทั้งยังช่วยลดความรุนแรงของโรค และลดโอกาสที่ต้องนอนโรงพยาบาลลงได้ 80 - 90%[7] ปัจจุบันวัคซีนแบ่งเป็น 2 ชนิด ดังนี้

  • วัคซีนชนิด 2 เข็ม: สำหรับผู้ที่มีอายุ 4 ขึ้นไป สามารถฉีดได้ทั้งผู้ที่เคยหรือไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน โดยฉีดครั้งละ 1 เข็ม ห่างกันเข็มละ 3 เดือน [6]
  • วัคซีนชนิด 3 เข็ม: สำหรับผู้มีอายุ 6-45 ปี และมีประวัติเคยเป็นไข้เลือดออกมาแล้ว โดยฉีดครั้งละ 1 เข็ม ห่างกันเข็มละ 6 เดือน [6]

การเลือกรับวัคซีนให้ปรึกษาแพทย์เพื่อแนะนำตามความเหมาะสมแต่ละบุคคล

ที่มาของข้อมูล

  1. heygoody: “เปิดลิสต์ค่ารักษาพยาบาลแต่ละโรค เมื่อต้องนอนโรงพยาบาล”.
  2. ไทยรัฐออนไลน์: “ส่องค่ารักษาโรคฮิตหน้าฝน 2022 เพื่อวางแผนทำประกันสุขภาพสำหรับลูกน้อย 0-5 ปี”.
  3. DIT กรมการค้าภายใน: “ระบบค้นหาและเปรียบเทียบราคาค่ารักษาพยาบาลและบริการทางการแพทย์”.
  4. คมชัดลึก: “ไข้เลือดออก ผู้ประกันตน รักษาฟรี ตามสิทธิประกันสังคม”.
  5. ไทยรัฐออนไลน์: “ยันไข้เลือดออกวิกฤติใช้บัตรทองได้”.
  6. สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย: “ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย แนะนำโดย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย 2568”.
  7. คำแนะนำการให้วัคซีนป้องกันโรคสำหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ พ.ศ. 2568 “สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย - Infectious Disease Association of Thailand

ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นสำหรับประชาชนเป็นการทั่วไปโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการให้ข้อมูลเท่านั้น ข้อมูลนี้ไม่ควรถูกนำไปใช้เพื่อวินิจฉัยหรือรักษาปัญหาสุขภาพหรือโรคใด ๆ การให้ข้อมูลดังกล่าวนี้ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการทดแทนการปรึกษากับผู้ให้บริการทางการแพทย์ โปรดปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ของท่านสำหรับคำแนะนำเพิ่มเติม

C-ANPROM/TH/DENV/0776: MAY 2025