ระวังให้ดี! 5 โรคอันตรายที่มาพร้อมกับ “ยุง”

ยุงไม่ได้เป็นแค่แมลงที่รบกวนเราในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอันตรายต่างๆ ได้ เช่น ไข้เลือดออก, ไข้มาลาเรีย, ไข้สมองอักเสบเจอี, ไข้ชิคุนกุนยา และไข้ซิกา

ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ 5 โรคอันตรายที่มีสาเหตุมาจากยุงกัน พร้อมกับแนะนำวิธีป้องกันที่จะช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้เกิดโรคเหล่านี้ได้

1. ไข้เลือดออก

ไข้เลือดออก (Dengue Fever) คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรค โดยโรคไข้เลือดออกจะมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 หรือ เรียกว่าไวรัสเดงกี 1, 2, 3, และ 4 ตามลำดับ

โรคไข้เลือดออกมักเกิดขึ้นเมื่อยุงลายดูดเลือดจากผู้ป่วยในระยะไข้สูง ก่อนที่เชื้อจะฟักตัวในกระเพาะและต่อมน้ำลายของยุงภายใน 8-10 วัน เมื่อถูกยุงที่ได้รับเชื้อกัด เชื้อไวรัสจะเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ที่โดนกัด ทำให้ติดเชื้อและป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกได้ภายใน 5-8 วัน [1]

ไข้เลือดออกมีอาการอย่างไร?

คนที่เป็นโรคไข้เลือดออกครั้งแรกกว่า 90% มักจะไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเริ่มแรกที่ไม่รุนแรง เหมือนไข้หวัดธรรมดา แต่ถ้าหากผ่านไปแล้วประมาณ 4-10 วัน อาจเริ่มมีอาการแสดงขึ้นมาเรื่อยๆ โดยอาการของโรคไข้เลือดออกจะแบ่งเป็น 3 ระยะ [1] ดังนี้

โดยอาการเมื่อป่วยเป็นไข้เลือดออกสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้

  • ระยะไข้สูง (Febrile Phase) ผู้ป่วยระยะนี้จะมีไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส ติดต่อกันประมาณ 3-7 วัน โดยอาการในระยะนี้มักจะคล้ายกับไข้หวัด แต่แตกต่างตรงที่ไม่มีอาการไอหรือน้ำมูก นอกจากนี้ยังอาจมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง รวมถึงพบผื่นหรือจุดเลือดออกตามลำตัว แขน และขา บางรายอาจมีอุจจาระสีดำร่วมด้วย [1,6]
  • ระยะวิกฤต (Critical Phase) เป็นช่วงที่พลาสมาอาจรั่วออกนอกเส้นเลือด ทำให้ร่างกายสูญเสียของเหลวหรือเลือด แม้ว่าไข้จะลดลง แต่อาการก็อาจทรุดลงอย่างรวดเร็ว โดยผู้ป่วยอาจมีอาการซึม เหงื่อออกมาก กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น และอาเจียนเป็นเลือด ผู้ป่วยในระยะนี้จึงต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นระยะที่มีความดันโลหิตต่ำมากจนอาจทำให้เกิดภาวะช็อกและรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ [1]
  • ระยะฟื้นตัว (Recovery Phase) เป็นช่วงที่อาการของผู้ป่วยจะค่อยๆ ดีขึ้นหลังผ่านระยะวิกฤต โดยจะเริ่มกลับมามีความอยากอาหารมากขึ้น ความดันโลหิตกลับสู่ระดับปกติ และปัสสาวะมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยในระยะนี้ยังอาจพบผื่นแดงสลับขาวที่มีอาการคัน (Convalescent Rash) ได้อยู่ ซึ่งผื่นจะค่อยๆ จางหายไปเอง [1]

2. ไข้ป่า หรือ มาลาเรีย

ไข้ป่า หรือ มาลาเรีย (Malaria) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัว (Protozoa) กลุ่มพลาสโมเดียม (Plasmodium spp.) โดยมียุงก้นปล่องเพศเมียเป็นพาหะนำโรค [5]

โดยโรคไข้ป่าจะมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ แตกต่างกันไปตามชนิดของโปรโตซัว แต่ชนิดที่พบมากในไทยคือ ฟัลซิปารัม (Plasmodium falciparum) และไวแวกซ์ (Plasmodium vivax) ที่เชื้อสามารถฝังอยู่ในตับเป็นเวลาหลายปี ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อมักจะกลับมาเป็นซ้ำและมีอาการเป็นๆ หายๆ [5]

สาเหตุของการเกิดโรคไข้ป่าจะคล้ายกับการเกิดโรคไข้เลือดออก คือ ยุงก้นปล่องที่เป็นพาหะไปกัดผู้ติดเชื้อ ทำให้เชื้อแพร่กระจายเข้าสู่ตัวยุงและเจริญเติบโตอยู่ในตัวยุงราวๆ 10-12 วัน จนอยู่ในระยะที่ทำให้เกิดโรคได้ เมื่อเราถูกยุงที่มีเชื้อฟักตัวเต็มที่กัดเข้า เชื้อมาลาเรียก็จะถูกส่งต่อจากน้ำลายของยุงมาสู่คน ซึ่งจะเริ่มสังเกตอาการได้เมื่อผ่านไปประมาณ 10-14 วัน [7]

ไข้ป่า หรือ มาลาเรีย มีอาการอย่างไร? [8]

หลังจากถูกยุงก้นปล่องที่มีเชื้อมาลาเรียกัด ในบางรายอาจแสดงอาการให้เห็นตั้งแต่ 10-14 วันแรก ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย ซึ่งโรคนี้มักจะแสดงอาการไข้เป็นรอบๆ โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้

  • ระยะหนาว (Cold Stage) เป็นช่วงที่เซลล์เม็ดเลือดแดงแตก ทำให้เกิดอาการไข้ขึ้นอย่างฉับพลัน ผู้ป่วยจะรู้สึกหนาวสั่นจนต้องห่มผ้าหนา อาจมีริมฝีปากและเล็บคล้ำจากการไหลเวียนเลือดที่ลดลง บางรายอาจมีอาการหายใจไม่สะดวกและชีพจรเต้นเบาลงด้วย โดยระยะนี้มักเกิดขึ้นประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังได้รับเชื้อ ซึ่งอาการจะกินเวลาประมาณ 15-60 นาที
  • ระยะร้อน (Hot Stage) เป็นช่วงที่ผู้ป่วยมีไข้สูง ตัวร้อนจัด หน้าแดง ตาแดง และรู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรง อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือไม่ได้สติร่วมด้วย โดยอาการของระยะนี้มักกินเวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง
  • ระยะเหงื่อออก (Sweating Stage) เป็นช่วงที่อุณหภูมิร่างกายจะลดลงอย่างรวดเร็วและมีเหงื่อออกมากจนตัวเปียกโชก ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลียมาก โดยอาการของระยะนี้จะกินเวลาประมาณ 1-4 ชั่วโมง หลังจากนั้นผู้ป่วยจะรู้สึกดีขึ้นชั่วคราว ก่อนที่วงจรของไข้จะกลับมาเป็นซ้ำในรอบต่อไป

3. ไข้สมองอักเสบเจอี

โรคไข้สมองอักเสบเจอี (Japanese Encephalitis - JE) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Japanese Encephalitis Virus (JEV) โดยมียุงรำคาญ (Culex) เป็นพาหะนำโรค เมื่อได้รับเชื้อไวรัสจะทำให้สมองเกิดการอักเสบ ในบางรายอาจเกิดการอักเสบแค่บางส่วน แต่บางรายอาจเกิดการอักเสบในสมองและทำให้เกิดอาการที่รุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ [2]

โรคไข้สมองอักเสบเจอีสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่จะพบมากที่สุดในเด็กอายุ 5-10 ปี โดยเฉพาะในพื้นที่เกษตรกรรม เช่น นาข้าว, ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และพื้นที่ชนบทที่มีน้ำขัง ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุง ซึ่งผู้ป่วยมักจะเริ่มแสดงอาการหลังจากถูกยุงที่มีเชื้อกัดประมาณ 1-2 สัปดาห์ [9]

ไข้สมองอักเสบเจอีมีอาการอย่างไร?

โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสเจอีมักจะไม่แสดงอาการใดๆ อย่างชัดเจน มีเพียงประมาณ 1 ใน 300-500 คนเท่านั้นที่ติดเชื้อและมีอาการที่สามารถสังเกตได้ ซึ่งอาการของไข้สมองอักเสบเจอีจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ [9] ดังนี้

  • ระยะเริ่มต้น (Prodromal Stage) ในระยะนี้อาการอาจยังไม่ชัดเจนมากนัก มักเกิดขึ้นภายใน 1-6 วันแรกของโรค โดยผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน รวมถึงมีอาการปวดกล้ามเนื้อ [2]
  • ระยะเฉียบพลัน (Acute Encephalitic Stage) ระยะนี้อาการจะเริ่มรุนแรงขึ้นเนื่องจากเชื้อแพร่เข้าสู่สมอง ทำให้เกิดอาการทางระบบประสาท โดยคอของผู้ป่วยจะแข็ง ขยับได้ลำบาก สับสน พูดไม่ชัด มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป มีอาการชัก หรืออัมพาตบางส่วนของร่างกาย ในบางรายอาจรุนแรงถึงขั้นหมดสติและเข้าสู่ภาวะโคม่า [2]
  • ระยะฟื้นตัว (Recovery Stage) หรือ ระยะภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยที่รอดชีวิตจากอาการุนแรงอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนในการฟื้นตัว บางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนระยะยาว เช่น อัมพาต, มีปัญหาการเคลื่อนไหว, มีภาวะปัญญาอ่อนหรือสมองเสื่อมจากความเสียหายของสมอง และมีอาการชักเรื้อรัง [2]

4. ไข้ชิคุนกุนยา

ไข้ชิคุนกุนยา (Chikungunya Fever) หรือโรคไข้ปวดข้อยุงลาย เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Chikungunya Virus (CHIKV) โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค [10]

คำว่า “ชิคุนกุนยา” มาจากภาษามาคอนดี (Makonde) ของชาวพื้นเมืองแอฟริกาตะวันออก หมายถึงการงอตัวหรือการเดินก้มตัว ซึ่งเป็นอาการของผู้ป่วยโรคนี้ที่มักจะมีอาการปวดข้อรุนแรงจนต้องเดินงอตัว [10]

ไข้ชิคุนกุนยามีอาการอย่างไร? [3]

ถึงแม้ว่าไข้ชิคุนกุนยาจะมีพาหะนำโรคเป็นยุงลายเหมือนกับโรคไข้เลือดออก แต่ไข้ชิคุนกุนยาจะมีความรุนแรงน้อยกว่ามาก แต่อาจทำให้เกิดอาการปวดข้อเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้

โดยเชื้อชิคุนกุนยาจะมีระยะฟักตัวของโรค 3-7 วัน หลังจากถูกยุงลายกัด และเมื่อครบระยะฟักตัว ผู้ป่วยมักจะมีอาการดังนี้

  • ไข้สูงเฉียบพลัน โดยอุณหภูมิอาจสูงถึง 40 องศาเซลเซียส และจะค่อยๆ ลดลงภายใน 2-3 วัน ร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ และอ่อนเพลีย
  • ปวดข้อและเมื่อยกล้ามเนื้อ บางรายอาจเกิดภาวะข้ออักเสบได้ ซึ่งมักจะพบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก แต่สามารถหายได้เองภายใน 2 สัปดาห์ สำหรับผู้ใหญ่ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป หลังจากอาการอื่นๆ ดีขึ้นแล้ว ยังอาจมีภาวะปวดข้อเรื้อรังต่อไปได้อยู่
  • มีผื่นแดง บางรายอาจมีผื่นแดงหรือผื่นคันเกิดขึ้นบนผิวหนัง
  • คลื่นไส้และอาเจียน บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย

5. ไข้ซิกา

ไข้ซิกา (Zika Fever) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซิกา (Zika Virus) ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรคเดียวกับไข้เลือดออกและไข้ชิคุนกุนยา นอกจากนี้ ไวรัสซิกายังสามารถแพร่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ การถ่ายเลือด และจากแม่สู่ทารกในครรภ์ได้ด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดภาวะแทรกซ้อนในทารก [4]

ไข้ซิกามีอาการอย่างไร?

ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสซิกาส่วนใหญ่มักจะมีอาการไม่รุนแรง อย่างไรก็ตาม หากมีอาการจะเริ่มแสดงออกภายใน 3-12 วันหลังจากถูกยุงกัด และอาการจะคงอยู่ได้นาน 2-7 วัน โดยอาการที่พบบ่อยเมื่อเป็นไข้ซิกา มีดังนี้ [11]

  • มีไข้
  • ปวดศีรษะ
  • มีผื่นแดงที่มักจะเริ่มจากใบหน้าแล้วลามไปที่แขน ขา และลำตัว
  • ตาแดงหรือเยื่อบุตาอักเสบ
  • ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ
  • อ่อนเพลีย และรู้สึกไม่สบายตัว

ในกรณีทั่วไป หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ไข้ซิกาจะหายได้เองภายใน 2-7 วัน โดยผู้ป่วยจะได้รับการรักษาเพียงเพื่อบรรเทาอาการ เช่น การดื่มน้ำมากๆ และการใช้ยาลดไข้ [11]

อย่างไรก็ตาม หากเกิดไข้ซิกาในผู้หญิงตั้งครรภ์อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อทารกในครรภ์ได้ ทำให้เกิดภาวะศีรษะเล็กแต่กำเนิด (Microcephaly) และมีพัฒนาการทางสมองผิดปกติ [4]

วิธีป้องกันตัวเองจากโรคที่มียุงเป็นพาหะ

เนื่องจากทั้ง 5 โรคที่มียุงเป็นพาหะล้วนมีสาเหตุมาจากการถูกยุงกัด ดังนั้นวิธีป้องกันตัวเองจากโรคเหล่านี้จึงเน้นไปที่การป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัดและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง โดยวิธีป้องกันตัวเองจากโรคที่มียุงเป็นพาหะสามารถทำได้ ดังนี้

1. การฉีดวัคซีนป้องกันโรค

การฉีดวัคซีนสามารถช่วยป้องกันโรคต่างๆ ที่มียุงเป็นพาหะได้ในบางกรณี ถึงแม้ว่าการฉีดวัคซีนจะยังไม่สามารถช่วยป้องกันโรคได้ 100% แต่ก็มีส่วนสำคัญในการลดความรุนแรงของอาการรวมถึงลดโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนเมื่อเกิดโรคได้ โดยวัคซีนที่สามารถป้องกันโรคที่เกิดจากยุงในปัจจุบัน มีดังนี้

  • การฉีดวัคซีนไข้เลือดออก ปัจจุบันการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกมีให้เลือกฉีด 2 ชนิด ได้แก่ การฉีดวัคซีนไข้เลือดออกชนิด 2 เข็ม เหมาะสำหรับผู้ที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน แต่ละเข็มจะฉีดห่างกัน 3 เดือน สามารถฉีดได้ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป [12] และการฉีดวัคซีนไข้เลือดออกชนิด 3 เข็ม เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติเคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อน ฉีดได้ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 6-45 ปี โดยแต่ละเข็มจะฉีดห่างกัน 6 เดือน [12]
  • การฉีดวัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบเจอี ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสเจอี ซึ่งมียุงรำคาญเป็นพาหะนำโรคได้ โดยปัจจุบันนิยมใช้เป็นชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ ฉีดทั้งหมด 2 เข็ม โดยเข็มแรกจะฉีดในเด็กที่มีอายุ 9-12 เดือน และฉีดเข็มที่สองถัดจากครั้งแรก 3-24 เดือน [2]
  • ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการฉีดวัคซีน

ปัจจุบันยังไม่มีการฉีดวัคซีนที่สามารถป้องกันไข้มาลาเรีย, ไข้ชิคุนกุนยาและไข้ซิกาได้ การป้องกันที่ดีที่สุดจึงเป็นการหลีกเลี่ยงการถูกยุงกัดและเฝ้าระวังดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

2. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง

การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงเป็นหนึ่งในวิธีสำคัญที่ช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากยุงได้ โดยวิธีการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงมีด้วยกันหลายวิธี ดังนี้

  • ทำลายแหล่งน้ำขัง ยุงมักจะวางไข่ในแหล่งน้ำขัง การกำจัดแหล่งน้ำขังจึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดการเพาะพันธุ์ของยุง โดยสามารถทำได้ด้วยการเทน้ำออกจากภาชนะเมื่อไม่ใช้แล้ว หรือบริเวณที่ไม่สามารถกำจัดน้ำขังได้ อาจเลือกเป็นการเติมทรายอะเบทเพื่อป้องกันยุงและทำลายลูกน้ำยุงลาย [6]
  • ปิดบ่อหรือแหล่งน้ำที่มีน้ำขัง หากไม่สามารถระบายน้ำออกได้ การปิดกั้นแหล่งน้ำเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ยุงไม่สามารถวางไข่ได้ [1]
  • ใช้ตาข่ายหรือมุ้งกันยุง การใช้ตาข่ายหรือมุ้งป้องกันยุงภายในที่อยู่อาศัยจะช่วยป้องกันยุงไม่ให้เข้าไปในที่พักและป้องกันไม่ให้ยุงกัดในขณะที่เรานอนหลับได้ [3]

3. เฝ้าระวังและดูแลสุขภาพ

การเฝ้าระวังและดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันโรคเหล่านี้ควรเริ่มจากการหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน หากจำเป็นต้องเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง ควรได้รับวัคซีนให้ครบก่อน รวมถึงควรทายากันยุงหรือสวมใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายให้มิดชิด

นอกจากนี้ การสังเกตอาการหลังถูกยุงกัดก็เป็นสิ่งสำคัญ หากมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดข้อ หรือมีผื่นขึ้นตามตัว ควรรีบพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจและรักษาอย่างเหมาะสมทันที

ที่มา

  1. โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน: “ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever)”.
  2. โรงพยาบาลนครธน: “ไข้สมองอักเสบเจอี ภัยร้ายที่มาพร้อมยุง ป้องกันได้ด้วยวัคซีน”.
  3. โรงพยาบาลสมิติเวช: “ชิคุนกุนยา อีกหนึ่งโรคร้ายจากยุงลายที่ควรรู้จัก”.
  4. กรมควบคุมโรค: “ไข้ซิกา (Zika virus) (Zika)”.
  5. โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล: “มาลาเรีย ไข้จับสั่น หรือไข้ป่า (Malaria)”.
  6. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่: “สารพัดโรคร้าย อันตรายที่มากับยุง”.
  7. โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์: “ไข้มาลาเรีย โรคติดต่อจากยุงก้นปล่อง”.
  8. กรมควบคุมโรค: “มาลาเรีย (Malaria, Cerebral Malaria)”.
  9. ศูนย์เด็กเล็กปลอดภัย เด็กไทยปลอดโรค: “โรคไข้สมองอักเสบเจอี”.
  10. กรมควบคุมโรค: “ไข้ปวดข้อยุงลาย (Chikungunya)”.
  11. โรงพยาบาลนครธน: “โรคไข้ซิกา อีกโรคติดเชื้อที่มาจากยุงลายที่ต้องระวัง”.
  12. สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย: “ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย แนะนำโดย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย 2568”.

“ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นสำหรับประชาชนเป็นการทั่วไปโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการให้ข้อมูลเท่านั้น ข้อมูลนี้ไม่ควรถูกนำไปใช้เพื่อวินิจฉัยหรือรักษาปัญหาสุขภาพหรือโรคใด ๆ การให้ข้อมูลดังกล่าวนี้ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการทดแทนการปรึกษากับผู้ให้บริการทางการแพทย์ โปรดปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ของท่านสำหรับคำแนะนำเพิ่มเติม”

C-ANPROM/TH/DENV/0778: MAY 2025