ไข้เลือดออกไม่เลือกวัย! พ่อแม่เสี่ยงแค่ไหน ป้องกันอย่างไรให้เอาอยู่

เมื่อพูดถึงไข้เลือดออก หลายคนอาจคิดว่าเป็นโรคที่เกิดขึ้นบ่อยในเด็กเท่านั้น แต่รู้หรือไม่ว่าพ่อแม่ผู้ปกครองเองก็มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อนี้ด้วยเช่นกัน ทั้งจากการดูแลลูกที่ป่วยไปจนถึงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยยุงลาย

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ และวิธีป้องกันของโรคนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลตัวเองและครอบครัวจากโรคร้ายนี้ได้อย่างเหมาะสม

ไข้เลือดออกคืออะไร?

โรคไข้เลือดออก (Dengue Fever) คือ โรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) ซึ่งมียุงลายตัวเมีย (Aedes Mosquito) เป็นพาหะนำโรค พบได้บ่อยในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งร้อนทั่วโลก โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอเมริกาใต้ [3]

ไวรัสเดงกีจะมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3, และ DENV-4 โดยแต่ละสายพันธุ์จะก่อให้เกิดความรุนแรงของโรคต่างกัน บางรายอาจมีเพียงอาการคล้ายหวัดธรรมดา ในขณะที่บางรายอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นช็อกและอวัยวะล้มเหลวจนเสียชีวิต [2]

ไข้เลือดออกเกิดจากสาเหตุใด?

โรคไข้เลือดออกจะเกิดขึ้นเมื่อยุงลายดูดเลือดจากผู้ป่วย โดยเชื้อจะฟักตัวในกระเพาะและต่อมน้ำลายของยุงภายใน 8-10 วัน ถ้าหากยุงที่ได้รับเชื้อไปกัดมนุษย์ ก็จะทำให้เชื้อเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ที่โดนกัดและกลายเป็นโรคไข้เลือดออกได้ภายใน 5-8 วัน [1]

โรคไข้เลือดออกสามารถพบได้ตลอดทั้งปี แต่จะแพร่ระบาดมากที่สุดในช่วงฤดูฝน เนื่องจากฝนที่ตกจะทำให้เกิดน้ำท่วมขังตามที่ต่างๆ ซึ่งเหมาะแก่การวางไข่ของยุงลาย [6]

เมื่อยุงลายมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ความเสี่ยงที่จะถูกยุงกัดและติดเชื้อเดงกีก็เพิ่มขึ้นด้วย โดยแต่ละปีจะมีเชื้อที่พบบ่อยแตกต่างกันไปหมุนเวียนทั้ง 4 สายพันธุ์

ทำไมพ่อแม่ผู้ปกครองถึงเสี่ยงเป็นโรคไข้เลือดออก

แม้ว่าไข้เลือดออกจะเป็นโรคที่พบได้มากในเด็กอายุระหว่าง 5-14 ปี แต่ผู้ใหญ่โดยเฉพาะพ่อแม่และผู้ปกครองก็มีความเสี่ยงเป็นไข้เลือดออกได้เช่นกัน [7] โดยปัจจัยหลักที่ทำให้พ่อแม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมีหลายประการ ดังนี้

1. อยู่ในพื้นที่ที่มียุงลายชุกชุม

ยุงลายเป็นพาหะหลักของไวรัสเดงกีและมักจะพบได้มากในพื้นที่เขตร้อนชื้น ชุมชนเมือง และบ้านเรือนที่มีน้ำขัง ซึ่งบ้านของพ่อแม่หลายคนอาจตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง [4] เช่น

  • หมู่บ้านที่มีต้นไม้เยอะ
  • คอนโดหรืออพาร์ตเมนต์ที่มีจุดน้ำขังในกระถางต้นไม้
  • บริเวณที่มีการก่อสร้าง ซึ่งอาจมีน้ำขังตามเศษวัสดุ

นอกจากนี้ ถ้าหากที่บ้านมีจานรองกระถางต้นไม้ ขวดน้ำเก่า หรือถังเก็บน้ำเปิดฝาที่มีน้ำขัง ก็อาจกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้เช่นกัน [7]

2. ใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่มียุงลายออกหากิน

ยุงลายมักจะชอบออกหากินในเวลากลางวัน ซึ่งเป็นเวลาที่พ่อแม่มักจะพาลูกไปโรงเรียน ทำงานบ้าน ซักผ้า รดน้ำต้นไม้ และพาลูกออกไปเล่นนอกบ้านหรือพาสัตว์เลี้ยงไปเดินเล่น ถ้าหากอยู่ในพื้นที่ที่มีไข้เลือดออกระบาดก็อาจทำให้มีโอกาสโดนยุงกัดและติดเชื้อไวรัสเดงกีได้โดยไม่รู้ตัว

3. ดูแลลูกจนลืมป้องกันตัวเอง

พ่อแม่ส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับการป้องกันลูกจากไข้เลือดออก เช่น ให้ลูกใส่เสื้อแขนยาว, ทายากันยุง หรือกางมุ้งให้ลูกนอน แต่พ่อแม่กลับละเลยการป้องกันตัวเองไป เช่น ไม่ทายากันยุงเวลานั่งเล่นกับลูก, ใส่เสื้อผ้าที่ไม่ปกปิดร่างกาย และไม่สังเกตว่าบ้านมีจุดที่มียุงลายเพาะพันธุ์6 การป้องกันโรคไข้เลือดออกไม่ใช่แค่เพื่อเด็ก แต่พ่อแม่ก็ต้องดูแลตัวเองด้วย

4. ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงจากความเครียดและพักผ่อนน้อย

พ่อแม่ที่ต้องทำงานไปด้วย ดูแลลูกไปด้วย อาจมีความเครียดสะสมและพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง และถ้าหากติดเชื้อไวรัสเดงกีก็อาจทำให้มีอาการรุนแรงกว่าคนที่ร่างกายแข็งแรงได้ [4]

ซึ่งไข้เลือดออกในผู้ใหญ่บางคนอาจไม่แสดงอาการชัดเจน หรืออาจมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น มีไข้สูงเฉียบพลัน, ปวดศีรษะ, ปวดกระบอกตา, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อต่อ, มีผื่นแดงขึ้นตามตัว,อ่อนเพลีย รวมถึงเบื่ออาหาร [8]

แต่ถ้าหากพักผ่อนไม่พอ อาการอาจรุนแรงขึ้นและเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ภาวะช็อกจากไข้เลือดออก (Dengue Shock Syndrome - DSS) [4]

5. บ้านมีของเล่นหรืออุปกรณ์ที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง

บ้านที่มีเด็กเล็กมักจะมีของเล่นและอุปกรณ์ต่างๆ มากมาย เช่น ถังน้ำอาบน้ำเด็ก, ลูกบอลพลาสติก, ของเล่นเป่าลม, รถเข็นเด็ก หรือเก้าอี้ที่มีน้ำขังในรอยพับ หากพ่อแม่ไม่ได้ตรวจสอบและกำจัดน้ำขังอย่างสม่ำเสมอ ก็อาจทำให้สิ่งของเหล่านี้กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้โดยไม่รู้ตัว [1]

อาการของโรคไข้เลือดออกเป็นอย่างไร?

อาการของโรคไข้เลือดออกในผู้ใหญ่มักมีลักษณะคล้ายกับในเด็ก แต่บางครั้งอาจรุนแรงกว่าหรือแสดงอาการแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแต่ละคน โดยโรคไข้เลือดออกจะมีระยะดำเนินโรค 3 ระยะ ดังนี้

1. ระยะไข้สูง (Febrile Phase) [8]

ระยะนี้เป็นระยะแรกที่เชื้อกำลังแพร่กระจาย ผู้ป่วยมักจะมีไข้สูง 38.5-41 องศาเซลเซียส ติดต่อกัน 2-7 วัน โดยไข้จะสูงอย่างต่อเนื่องและลดลงได้ยาก อย่างไรก็ตาม อาการไข้ในระยะนี้มักจะไม่มีอาการไอหรือมีน้ำมูก แต่มักจะมีอื่นๆ ดังนี้

  • ปวดศีรษะรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อต่อ
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
  • อาจพบผื่นแดงเล็กๆ ตามร่างกาย

2. ระยะวิกฤต (Critical Phase) [1,4]

ระยะนี้มักเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 3-7 ของโรคเมื่อไข้เริ่มลดลง ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 24 – 48 ชั่วโมง ดังนั้นหากมีไข้เกิน 2 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษา อาการจะรุนแรงขึ้นเนื่องจากเชื้อไวรัสทำให้หลอดเลือดรั่ว ส่งผลให้ความดันโลหิตต่ำลงและอวัยวะขาดเลือด โดยอาการที่พบได้ในระยะวิกฤต ได้แก่

  • ตัวเย็น มือเท้าเย็น เหงื่อออกมาก ชีพจรเต้นเร็วแต่เบา เป็นอาการของภาวะช็อก
  • สับสน กระสับกระส่าย หรือหมดสติ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
  • ปวดท้องอย่างรุนแรง กดแล้วเจ็บบริเวณชายโครงขวา
  • มีภาวะเลือดออกผิดปกติ เช่น จุดเลือดออกตามตัว, อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด และอาจมีเลือดออกในอวัยวะภายใน
  • ปัสสาวะน้อยลงหรือไม่ออกเลย เป็นสัญญาณของไตที่เริ่มทำงานผิดปกติ
  • ความดันโลหิตลดลง เนื่องจากพลาสมาในเลือดรั่วออกจากหลอดเลือด ทำให้เลือดข้นขึ้นและการไหลเวียนของเลือดผิดปกติ

3. ระยะฟื้นตัว (Recovery Phase) [4,8]

หากผ่านระยะวิกฤตมาได้ ผู้ป่วยจะเข้าสู่ระยะฟื้นตัวภายใน 48-72 ชั่วโมง โดยอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นเนื่องจากภาวะพลาสมารั่วเริ่มหยุดลง เลือดจะกลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนตามปกติ โดยอาการที่พบได้ในระยะฟื้นตัว มีดังนี้

  • ไข้ลดลง ร่างกายเริ่มมีเรี่ยวแรงมากขึ้น
  • ปัสสาวะเพิ่มขึ้น การทำงานของไตกลับมาปกติ
  • มีผื่นขึ้นทั่วตัว ลักษณะเป็นผื่นแดงที่ลอกเป็นขุยๆ แต่ไม่คัน
  • ความอยากอาหารกลับคืนมา เนื่องจากร่างกายเริ่มฟื้นตัวจากการสูญเสียพลังงาน
  • ชีพจรและความดันโลหิตกลับมาเป็นปกติ

วิธีป้องกันโรคไข้เลือดออกสำหรับพ่อแม่

ปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยไข้เลือดออกโดยเฉพาะ8 ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงโรคไข้เลือดออกคือการป้องกันและดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี โดยวิธีป้องกันโรคไข้เลือดออกสำหรับพ่อแม่และผู้ปกครอง มีดังนี้

1. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย [8]

เนื่องจากยุงลายวางไข่ในน้ำขังหรือแหล่งน้ำนิ่ง การกำจัดแหล่งน้ำที่เป็นจุดวางไข่ของยุงลายจึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดจำนวนยุง โดยวิธีกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายสามารถทำได้ดังนี้

  • กำจัดน้ำขังทุกสัปดาห์ ด้วยการเทน้ำในภาชนะต่างๆ เช่น แจกัน, จานรองกระถางต้นไม้, ถังเก็บน้ำ และภาชนะอื่นๆ ที่มีน้ำขังออก
  • ปิดฝาภาชนะเก็บน้ำให้มิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายลงไปวางไข่
  • เลี้ยงปลาเล็ก เช่น ปลาหางนกยูง เนื่องจากสามารถช่วยกินลูกน้ำยุงลายได้
  • ใส่ทรายป้องกันยุงในภาชนะเก็บน้ำ โดยทรายชนิดนี้จะถูกเคลือบด้วยสารเคมีกลุ่มอะเบท (Abate) เมื่อนำไปใส่ในน้ำ ตัวทรายจะปล่อยสารที่มีฟอสฟอรัสซึ่งมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทของลูกน้ำยุงลาย ทำให้ลูกน้ำเป็นอัมพาตและตายในที่สุด
  • ดูแลท่อระบายน้ำให้สะอาด การดูแลท่อระบายน้ำไม่ให้อุดตันจะช่วยลดการเกิดน้ำขังซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงได้

2. ป้องกันตนเองและครอบครัวจากยุงกัด [8]

พ่อแม่และผู้ปกครองควรใช้มาตรการป้องกันตนเองและลูกหลานจากการถูกยุงกัดโดยตรง ดังนี้

  • ทายากันยุงเป็นประจำ ควรเลือกยากันยุงที่มีส่วนผสมของ DEET, IR3535 หรือ Picaridin ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันยุงกัด
  • สวมเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกาย โดยเฉพาะช่วงกลางวัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มียุงลายออกหากิน
  • ติดมุ้งลวดและนอนในมุ้ง เป็นวิธีที่ช่วยป้องกันยุงได้ แม้ว่ายุงลายจะกัดในช่วงกลางวันก็ตาม
  • ใช้เครื่องไล่ยุงหรือสเปรย์กันยุงในบ้าน เช่น ไม้ตียุง, สเปรย์กันยุง หรือเครื่องพ่นไอน้ำไล่ยุง
  • เปิดพัดลมหรือใช้แอร์ เนื่องจากยุงลายไม่ชอบอากาศเย็นและลมแรง
  • ปิดประตูและหน้าต่างให้มิดชิด อาจมีการติดตั้งมุ้งลวดเพิ่มเติม เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงเข้ามาภายในบ้าน

3. เฝ้าระวังอาการของไข้เลือดออก

พ่อแม่ต้องหมั่นสังเกตอาการของตนเองและลูกหลานอย่างใกล้ชิด หากพบอาการน่าสงสัยควรรีบไปพบแพทย์ทันที เช่น มีไข้สูงเฉียบพลันต่อเนื่อง 2 วันขึ้นไปและไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้ทั่วไป รวมถึงมีเลือดออกง่าย เช่น เลือดกำเดาไหล, มีจุดเลือดออกตามตัว หรือเลือดออกตามไรฟัน [1]

นอกจากนี้ หากพบอาการที่น่าสงสัยควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน เพราะอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น [4]

  1. การฉีดวัคซีนไข้เลือดออก ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ทุกสายพันธุ์ อีกทั้งยังช่วยลดความรุนแรงของโรค และลดโอกาสที่ต้องนอนโรงพยาบาลลงได้ 80 - 90%[10] ปัจจุบันวัคซีนแบ่งเป็น 2 ชนิด ดังนี้
  • วัคซีนชนิด 2 เข็ม: สำหรับผู้ที่มีอายุ 4 ขึ้นไป สามารถฉีดได้ทั้งผู้ที่เคยหรือไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน โดยฉีดครั้งละ 1 เข็ม ห่างกันเข็มละ 3 เดือน [5]
  • วัคซีนชนิด 3 เข็ม: สำหรับผู้มีอายุ 6-45 ปี และมีประวัติเคยเป็นไข้เลือดออกมาแล้ว โดยฉีดครั้งละ 1 เข็ม ห่างกันเข็มละ 6 เดือน [5]

ผู้ที่เคยมีประวัติเป็นไข้เลือดออกมาก่อน สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ โดยสามารถฉีดหลังจากหายดีแล้ว 6 เดือน [7]

การเลือกรับวัคซีนให้ปรึกษาแพทย์เพื่อแนะนำตามความเหมาะสมแต่ละบุคคล

ผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีน โดยทั่วไปแล้วอาการจะไม่รุนแรงและหายได้เองภายในไม่กี่วัน เช่น อาการปวด, บวม, แดง หรือคันบริเวณที่ฉีด รวมถึงมีอาการปวดศีรษะหรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน [9]

ที่มา

  1. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล: “ไข้เลือดออก..ภัยร้ายใกล้ตัว”.
  2. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล: “วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก (Dengue Vaccine)”.
  3. กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข: “แนวทางการวินิจฉัยและการดูแลรักษาผู้ป่าวยโรคไข้เลือดออกเด็งกีในผู้ใหญ่”.
  4. โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต: “ยุงกัดมากแค่ไหน ถึงจะเป็นไข้เลือดออก”.
  5. สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย: “ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย แนะนำโดย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย 2568”.
  6. กรมควบคุมโรค: “ไข้เด็งกี่ (Dengue)”.
  7. โรงพยาบาลมหาชัย 2: “ไข้เลือดออกใกล้ตัวกว่าที่คิด”.
  8. โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์: “โรคไข้เลือดออก ภัยร้ายจากยุงลาย”.
  9. Know Dengue: “การฉีดวัคซีนไข้เลือดออก ปกป้องชีวิตทุกคนจากโรคไข้เลือดออก”.
  10. คำแนะนำการให้วัคซีนป้องกันโรคสำหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ พ.ศ. 2568 “สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย - Infectious Disease Association of Thailand

“ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นสำหรับประชาชนเป็นการทั่วไปโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการให้ข้อมูลเท่านั้น ข้อมูลนี้ไม่ควรถูกนำไปใช้เพื่อวินิจฉัยหรือรักษาปัญหาสุขภาพหรือโรคใด ๆ การให้ข้อมูลดังกล่าวนี้ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการทดแทนการปรึกษากับผู้ให้บริการทางการแพทย์ โปรดปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ของท่านสำหรับคำแนะนำเพิ่มเติม”

C-ANPROM/TH/DENV/0779: MAY 2025