หลายคนเข้าใจว่าไข้เลือดออกจะระบาดหนักในช่วงฤดูฝนเท่านั้น แต่ความจริงแล้วหน้าร้อนก็เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่ต้องระวัง เนื่องจากยุงลายตัวร้ายยังคงแพร่พันธุ์ได้แม้ไม่มีฝน แถมอุณหภูมิที่สูงขึ้นยังเป็นตัวเร่งให้เชื้อไวรัสเดงกีเพิ่มจำนวนได้รวดเร็วขึ้นด้วย3
โรคไข้เลือดออกคืออะไร?
ไข้เลือดออก (Dengue Fever) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) โดยมียุงลายตัวเมียเป็นพาหะนำโรค (Aedes Mosquitoes) เช่น ยุงลายบ้านหรือยุงลายสวน ที่มักหากินในช่วงเวลากลางวัน [1]
การระบาดของโรคไข้เลือดออกมักเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน เนื่องจากเป็นช่วงที่มีแหล่งน้ำขังมากจนเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกสูงกว่าช่วงอื่น [5]
เชื้อไวรัสเดงกีที่ทำให้เกิดไข้เลือดออกจะมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 โดยแต่ละสายพันธุ์อาจทำให้เกิดอาการรุนแรงในระดับที่แตกต่างกัน [2]
หากผู้ที่เคยเป็นไข้เลือดออกจากสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งมาแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นไปตลอดชีวิต ทำให้ไม่มีโอกาสติดเชื้อซ้ำจากสายพันธุ์เดิม [1]
แต่ทั้งนี้ ผู้ที่เคยเป็นไข้เลือดออกยังมีโอกาสติดเชื้อจากสายพันธุ์อื่นได้อยู่ และเมื่อได้รับเชื้อจากสายพันธุ์ใหม่ในครั้งถัดไป ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไข้เลือดออกชนิดรุนแรง (Dengue Hemorrhagic Fever - DHF) ได้ด้วย [1]
ทำไมหน้าร้อนถึงเสี่ยงเป็นไข้เลือดออก?
ถึงแม้ไข้เลือดออกจะพบมากในช่วงหน้าฝน แต่หน้าร้อนก็เป็นช่วงที่มีความเสี่ยงของโรคไข้เลือดออกเช่นกัน โดยปัจจัยที่ทำให้หน้าร้อนเสี่ยงเป็นไข้เลือดออกมากขึ้น มีดังนี้
1. ยุงลายแพร่พันธุ์ได้แม้ไม่มีฝน
แม้ว่ายุงลายจะต้องการน้ำในการวางไข่และเจริญเติบโต แต่การไม่มีฝนไม่ได้หมายความว่ายุงลายจะหมดไป เนื่องจากยุงลายสามารถวางไข่ในภาชนะที่มีน้ำเพียงเล็กน้อยได้ และไข่ของยุงลายสามารถทนสภาพแห้งแล้งได้นานหลายเดือนจนกว่าจะมีน้ำเพียงพอทำให้ไข่ฟักตัว [1,3]
ดังนั้นถ้าหากเกิดแหล่งน้ำขังไม่ว่าจะจากสาเหตุใด เช่น จานรองกระถางต้นไม้, ถังน้ำ, แก้วน้ำที่วางทิ้งไว้ หรือแอ่งน้ำจากเครื่องปรับอากาศ ก็ล้วนเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายได้ทั้งหมด [1]
2. สภาพอากาศร้อนช่วยเพิ่มการเติบโตของยุงลาย
ในช่วงหน้าร้อน อุณหภูมิที่สูงจะส่งผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์ของยุงลาย เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงจะทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายยุงเร่งตัวขึ้นและส่งผลให้ยุงลายสามารถพัฒนาจากตัวอ่อนไปเป็นตัวเต็มวัยได้เสร็จสมบูรณ์ภายใน 5-7 วัน
นอกจากนี้ ในช่วงอากาศร้อนยังมีผลต่อการเผาผลาญพลังงานของยุง ทำให้ยุงต้องกินเลือดบ่อยและส่งผลให้วางไข่ได้มาก จำนวนยุงลายในพื้นที่นั้นๆ จึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงทำให้มีการแพร่พันธุ์ของยุงลายและมีการแพร่เชื้อไวรัสเดงกีจากยุงลายเพิ่มขึ้น [3,4]
3. กิจกรรมกลางแจ้งเพิ่มความเสี่ยง
นอกจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและอุณหภูมิแล้ว กิจกรรมของแต่ละคนในช่วงหน้าร้อนก็ส่งผลต่อการแพร่ระบาดของไข้เลือดออกด้วยเช่นกัน โดยช่วงหน้าร้อนหลายคนมักจะใช้เวลาอยู่กลางแจ้งมากขึ้น เช่น ไปเที่ยวพักผ่อน, ออกไปนั่งเล่นสวนสาธารณะ หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งอื่นๆ ที่ทำให้มีโอกาสถูกยุงกัดมากขึ้น
นอกจากนี้ การเปิดประตูและหน้าต่างเพื่อระบายอากาศในช่วงหน้าร้อน โดยเฉพาะช่วงเช้าและช่วงบ่ายที่ยุงลายออกหากิน ก็เป็นการเพิ่มโอกาสให้ยุงลายบินเข้ามาภายในบ้านและถูกกัดได้ง่ายเช่นกัน [3,6]
อาการของโรคไข้เลือดออกที่ต้องระวัง
อาการของโรคไข้เลือดออกมีหลากหลาย โดยทั่วไปจะเริ่มต้นด้วยอาการเบื้องต้นที่คล้ายกับไข้หวัดธรรมดา แต่บางกรณีอาจพัฒนาเป็นอาการที่รุนแรงขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาทันทีเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยอาการของโรคไข้เลือดออกสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะหลัก ดังนี้
1. ระยะไข้สูง (Febrile Phase) [7]
ระยะนี้เป็นระยะแรกที่เชื้อเริ่มแพร่กระจาย ผู้ป่วยจะมีไข้สูงถึง 39-40 องศาเซลเซียส และจะคงอยู่ต่อเนื่องไปอีก 2-7 วัน อาการโดยรวมของระยะนี้จะคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา แต่ไม่มีอาการไอหรือน้ำมูก อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยมักจะมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ดังนี้
- ปวดศีรษะรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อต่อ
- ปวดกระบอกตา มีอาการเจ็บรอบดวงตา
- อ่อนเพลียมาก นอนหลับไม่สนิท
- มีผื่นแดงหรือตุ่มแดงบนผิวหนัง
2. ระยะวิกฤต (Critical Phase) [7]
ระยะวิกฤติเป็นช่วงที่อันตรายที่สุด เนื่องจากไข้จะเริ่มลดลงทำให้ผู้ป่วยหลายคนเข้าใจว่ากำลังหายดี แต่ความเป็นจริงแล้ว ระยะนี้เป็นช่วงที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ เช่น ภาวะช็อกจากไข้เลือดออก (Dengue Shock Syndrome - DSS) หรือภาวะเลือดออกผิดปกติ นอกจากนี้ยังมีอาการอื่นๆ ที่ต้องระวังอีกด้วย ได้แก่
- มีอาการซึมและอ่อนแรงมาก ไม่สามารถลุกขึ้นได้
- มือเท้าเย็น เหงื่อออก ตัวซีด อาจเป็นสัญญาณของภาวะช็อก
- ปวดท้องรุนแรงและต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงขวา
- อาเจียนบ่อยหรืออาเจียนเป็นเลือด อาจเกิดจากการมีเลือดออกในทางเดินอาหาร
- เลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล, เลือดออกตามไรฟัน หรือขับถ่ายเป็นเลือด
- หายใจลำบาก แน่นหน้าอก อาจเกิดจากภาวะน้ำรั่วออกจากเส้นเลือด ทำให้ปอดบวมน้ำ
- ปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ปัสสาวะเลย บ่งบอกว่าร่างกายเข้าสู่ภาวะขาดน้ำรุนแรงและไตกำลังมีปัญหา
3. ระยะฟื้นตัว (Recovery Phase)
หลังจากผ่านระยะวิกฤตมาได้ ผู้ป่วยจะเข้าสู่ระยะฟื้นตัว ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายเริ่มกลับมาทำงานได้ดีขึ้น ชีพจรและความดันโลหิตกลับมาปกติ ร่างกายมีเรี่ยวแรง ปัสสาวะได้มากขึ้น และความอยากอาหารเริ่มกลับคืนมา [1]
วิธีป้องกันไข้เลือดออกในช่วงหน้าร้อน
ในช่วงหน้าร้อนที่อากาศร้อนอบอ้าว ยุงลายมักจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออก การป้องกันยุงลายจึงเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ปลอดภัยจากโรคไข้เลือดออก โดยวิธีป้องกันไข้เลือดออกในช่วงหน้าร้อนที่แนะนำ มีดังนี้
1. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย [7]
- ปิดฝาภาชนะใส่น้ำ เช่น ถังน้ำ, โอ่ง หรือภาชนะเก็บน้ำอื่นๆ ไม่ให้ยุงลายวางไข่
- หมั่นเปลี่ยนน้ำในภาชนะที่มีน้ำขัง เช่น แจกันดอกไม้สด, แจกันศาลพระภูมิ หรือถาดรองกระถางต้นไม้ โดยควรเปลี่ยนทุกสัปดาห์
- กำจัดภาชนะที่ไม่ใช้แล้ว หรือสิ่งของที่สามารถรองรับน้ำได้ เช่น กระป๋องเก่าหรือยางรถยนต์
- เลี้ยงปลาเล็ก เช่น ปลาหางนกยูง เนื่องจากปลาเหล่านี้จะช่วยกินลูกน้ำยุงลายได้
- ใส่ทรายป้องกันยุงในภาชนะเก็บน้ำ ทรายชนิดนี้จะถูกเคลือบด้วยสารเคมีกลุ่มอะเบท (Abate) เมื่อทรายโดยน้ำ ตัวทรายจะปล่อยสารที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทของลูกน้ำยุงลาย ทำให้ลูกน้ำตายในที่สุด
2. ป้องกันการถูกยุงกัด [8]
- ทายากันยุงเป็นประจำ ควรเลือกยากันยุงหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ DEET, IR3535 หรือ Picaridin ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันยุงสูง
- สวมเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกาย โดยเฉพาะช่วงกลางวัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยุงลายออกหากิน
- ติดมุ้งลวดและปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงเข้ามาภายในบ้าน
- ใช้เครื่องไล่ยุงหรือสเปรย์กันยุงในบ้าน เช่น ไม้ตียุง, สเปรย์กันยุง หรือเครื่องพ่นไอน้ำไล่ยุง
- เปิดพัดลมหรือใช้แอร์ เนื่องจากยุงลายไม่ชอบอากาศเย็นและลมแรง
3. การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก
ปัจจุบันในประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกที่ได้รับการรับรองอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 2 เข็ม และวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 3 เข็ม
- วัคซีนไข้เลือดออก ชนิด 2 เข็ม แต่ละเข็มฉีดห่างกัน 3 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป และสามารถฉีดได้ทั้งในผู้ที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน9
- วัคซีนไข้เลือดออก ชนิด 3 เข็ม แต่ละเข็มฉีดห่างกัน 6 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 6-45 ปี และมีประวัติเคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อน [9]
โรคไข้เลือดออกสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี ถึงแม้จะมีสาเหตุมาจากยุงตัวเล็กๆ แต่ก็อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ การป้องกันโรคด้วยการดูแลสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ป้องกันการถูกยุงกัด และการฉีดวัคซีนไข้เลือดออกจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงเป็นไข้เลือดออกได้
ที่มา
- คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล: “ไข้เลือดออก .. ภัยร้ายใกล้ตัว”.
- คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล: “วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก (Dengue Vaccine)”.
- สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ: “โลกร้อน’ยุงลายอายุยืนไข้เลือดออกเพิ่ม10เท่า”.
- สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ: “เข้าหน้าร้อนระวังยุงลาย”.
- กรมควบคุมโรค: “รายงานพยากรณ์โรคไข้เลือดออก ปี 2562”.
- สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย: “โรคไข้เลือดออก (Dengue)”.
- โรงพยาบาลวิภาวดี: “โรคไข้เลือดออกระบาด - สาเหตุ อาการ ระวัง ป้องกัน รู้ทันยุงลาย”.
- โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์: “โรคไข้เลือดออก ภัยร้ายจากยุงลาย”.
- สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย: “ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย แนะนำโดย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย 2568”.
“ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นสำหรับประชาชนเป็นการทั่วไปโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการให้ข้อมูลเท่านั้น ข้อมูลนี้ไม่ควรถูกนำไปใช้เพื่อวินิจฉัยหรือรักษาปัญหาสุขภาพหรือโรคใด ๆ การให้ข้อมูลดังกล่าวนี้ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการทดแทนการปรึกษากับผู้ให้บริการทางการแพทย์ โปรดปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ของท่านสำหรับคำแนะนำเพิ่มเติม”
C-ANPROM/TH/DENV/0781: MAY 2025