มีเมือกใส่ๆไหลออกจากอวัยวะเพศชาย แต่ไม่มีกลิ่น ปัสวะไม่แสบ ไม่ปวดไม่บวม เป็นอะไรไหม
หากมีเมือกใสไหลออกจากอวัยวะเพศชายโดยไม่มีอาการปวด ไม่แสบเวลาปัสสาวะ ไม่มีบวม หรือกลิ่นผิดปกติ อาการที่เกิดขึ้นนี้อาจไม่ได้ชี้ถึงปัญหาสุขภาพร้ายแรงทันทีค่ะ แต่การเข้าใจรายละเอียดช่วยให้วินิจฉัยได้ดีขึ้น โดยอาจเป็นได้จากหลายสาเหตุ เช่น:
-
น้ำเมือกหล่อลื่นตามธรรมชาติ (Pre-ejaculate)
- ในกรณีที่ร่างกายตอบสนองทางเพศ น้ำเมือกใสๆ อาจถูกขับออกมากจากต่อมคาวเปอร์ (Cowper’s gland) โดยอาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวหรือไม่ได้มีการกระตุ้นทางเพศโดยตรง
-
การอักเสบหรือการตอบสนองเล็กน้อยของทางเดินปัสสาวะ
- ถึงแม้อาการจะไม่รุนแรง เช่นไม่มีปวดหรือแสบ แต่ยังอาจเกิดจากการอักเสบเล็กน้อย เช่น การระคายเคืองจากสบู่ น้ำหอม หรือสารเคมีอื่นๆ ที่ใช้ในบริเวณอวัยวะเพศ
-
ปัญหาด้านสุขภาพที่อาจไม่ได้แสดงอาการชัด
- อาการที่คุณกล่าวมาอาจเป็นอาการเริ่มต้นของภาวะเช่น การติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด หรือหนองในเทียม (Chlamydia) แม้ว่าจะยังไม่มีอาการชัดเจน เช่น ปวดหรือมีกลิ่นผิดปกติ
คำแนะนำเบื้องต้น:
- รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศให้ดี ใช้น้ำเปล่าหรือสบู่อ่อน
- หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี เช่น น้ำหอม หรือสบู่ที่มีความเข้มข้นสูง
- หากอาการยังคงมีอย่างต่อเนื่อง หรือเริ่มมีกลิ่นผิดปกติ ลักษณะเมือกเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น/เหลือง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือภาวะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องค่ะ
การพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียดจะดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยและเพื่อให้ได้การรักษาที่เหมาะสมค่ะ
5 วันก่อนแพทย์ให้ฉีดยาปฏิชีวนะ แล้วให้ยาฆ่าเชื้อมาแล้ว แต่ยังมีเมือกออกมาอยู่ เป็นผลข้างเคียงหรือไม่
อาการที่เมือกใสยังคงหลั่งออกมาหลังจากที่ได้รับการฉีดยาปฏิชีวนะและยาฆ่าเชื้อ อาจมีสาเหตุหลายอย่างที่ต้องพิจารณาค่ะ:
-
ผลข้างเคียงหรือการตอบสนองต่อยาที่ได้รับ
บางครั้งร่างกายอาจต้องใช้เวลาในการตอบสนองต่อการรักษาหรือกำจัดการอักเสบหรือการติดเชื้อในระบบได้หมดจด หากการติดเชื้อที่คุณมีอยู่ก่อนหน้านั้นยังไม่ถูกขจัดอย่างสมบูรณ์ น้ำเมือกอาจยังหลั่งออกมาเป็นอาการที่ยังคงอยู่จากภาวะก่อนหน้านี้ -
การติดเชื้อที่ยังไม่หายสนิท
ในบางกรณี การติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะหรืออวัยวะเพศ อาจต้องใช้เวลากับยานานขึ้นหรือเปลี่ยนชนิดของยาปฏิชีวนะเพื่อให้เหมาะสมกับชนิดของเชื้อที่พบ หากยาเริ่มแรกไม่ได้ครอบคลุมเชื้อทั้งหมด อาการอาจยังคงปรากฏอยู่ค่ะ -
การระคายเคืองหรือการอักเสบที่ไม่ใช่จากเชื้อโรค
แม้ว่าเชื้อโรคจะถูกรักษาไปแล้ว แต่เนื้อเยื่ออาจยังมีการอักเสบเล็กน้อยหลังการติดเชื้อ หรืออาจมีสาเหตุจากปัจจัยอื่น เช่น การระคายเคืองจากสารเคมี หรือกิจวัตรในชีวิตประจำวัน
คำแนะนำ:
- ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด: หากอาการนี้ดีขึ้นอย่างช้าๆ ภายใน 1-2 สัปดาห์ และไม่มีอาการแย่ลง เช่น ไม่มีปวด ไม่มีสีหรือกลิ่นผิดปกติ อาจเป็นเรื่องปกติในการฟื้นตัวค่ะ
- ปรึกษาแพทย์เพิ่มเติม: หากอาการยังคงอยู่และไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้น หรือหากเริ่มมีอาการผิดปกติ เช่น เมือกเปลี่ยนสี มีกลิ่น หรือมีอาการแสบปัสสาวะเพิ่มขึ้น ควรกลับไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติมค่ะ อาจจำเป็นต้องตรวจวิเคราะห์เชื้อโดยละเอียดอีกครั้ง หรือปรับเปลี่ยนยาที่ใช้รักษา
- ปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด: หากแพทย์ให้คุณรับประทานยาฆ่าเชื้อ ควรรับประทานยาให้ครบตามที่กำหนด แม้ว่าจะรู้สึกว่าอาการดีขึ้นแล้ว เพื่อป้องกันการกลับมาของเชื้อรักษายากค่ะ
การใช้ยาถูกต้องและการตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอกับแพทย์จะให้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาวค่ะ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมสามารถสอบถามต่อได้โดยไม่ต้องกังวลนะคะ