เมื่อพูดถึงโรคที่มาพร้อมกับฤดูฝน หนึ่งในโรคที่หลายคนรู้จักกันดีคงหนีไม่พ้น “ไข้เลือดออก” ซึ่งเป็นโรคที่สร้างความกังวลให้กับครอบครัวคนไทยมาอย่างยาวนาน แม้ว่าช่วงที่ฝนซาลง หลายคนอาจคิดว่าโรคนี้น่าจะหายไปด้วย แต่ความจริงแล้ว ไข้เลือดออกยังคงซุ่มเงียบและรอจังหวะระบาดอยู่เสมอ
ในบทความนี้ HDmall จะพามาเจาะลึกถึงสาเหตุว่าทำไมหมดหน้าฝนแล้ว แต่ไข้เลือดออกยังระบาดอยู่ พร้อมบอกอาการที่ควรเฝ้าระวัง และวิธีป้องกันโรคนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไข้เลือดออกคืออะไร?
ไข้เลือดออก (Dengue Fever) คือ โรคติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) ที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค โรคนี้สามารถทำให้เกิดอาการตั้งแต่ไข้สูงทั่วไป ไปจนถึงอาการรุนแรงที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้โดยเฉพาะกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ รวมถึงยังเป็นโรคที่พบได้บ่อยในเขตร้อนและกึ่งร้อนทั่วโลก โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอเมริกาใต้ [1]
ไข้เลือดออกมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3, และ DENV-4 การติดเชื้อในแต่ละครั้งจะสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะสายพันธุ์นั้นๆ เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าผู้ที่เคยป่วยสามารถติดเชื้อใหม่จากสายพันธุ์อื่นได้ และอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงมากขึ้น [1]
โรคไข้เลือดออกจัดเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทยและพบผู้ป่วยเป็นจำนวนมากในช่วงฤดูฝนซึ่งเป็นช่วงที่ยุงลายแพร่พันธุ์ได้ดี [1]
ไข้เลือดออกติดต่ออย่างไร?
ไข้เลือดออกเป็นโรคที่ไม่สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้โดยตรง แต่จะต้องผ่าน “พาหะ” ซึ่งในที่นี้คือ “ยุงลาย” โดยเฉพาะยุงลายบ้าน (Aedes Aegypti) และยุงลายสวน (Aedes Albopictus)
กระบวนการเกิดโรคเริ่มจากยุงลายไปกัดคนที่มีเชื้อไวรัสเดงกีในเลือด จากนั้นเชื้อจะเจริญในตัวยุงเป็นเวลาประมาณ 8-12 วัน เมื่อเชื้อแพร่เข้าสู่ต่อมน้ำลายของยุง ยุงตัวนั้นก็จะแพร่เชื้อไปยังคนได้ เมื่อคนที่ถูกยุงที่มีเชื้อกัดเข้าสู่ร่างกาย ก็จะทำให้เชื้อเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ที่โดนกัดและป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกได้ภายใน 3-15 วัน [1]
นอกจากนี้ ยุงลายยังมีพฤติกรรมชอบกัดคนในช่วงกลางวัน โดยเฉพาะช่วงเช้าและบ่าย อีกทั้งยังชอบวางไข่ในภาชนะที่มีน้ำนิ่ง เช่น จานรองกระถางต้นไม้, แจกันน้ำ, ถังน้ำที่ไม่มีฝาปิด รวมถึงสิ่งของที่ไม่ใช้แล้วแต่มีน้ำขังอยู่ เช่น ยางรถยนต์เก่า, กระป๋องเปล่า หรือพลาสติกต่างๆ
ทำไมไข้เลือดออกยังระบาด แม้ฝนจะหยุดแล้ว? [6]
แม้ฤดูฝนจะจบลงแต่ภัยจากไข้เลือดออกยังคงอยู่กับเราและในบางปีกลับพบผู้ป่วยมากขึ้นในช่วงหลังฤดูฝน ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ดังนี้
- ไข่ยุงลายรอเวลาฟักตัวได้นาน : ไข่ของยุงลายสามารถทนต่อสภาพแห้งแล้งได้นาน เมื่อมีน้ำเติมลงไปเพียงเล็กน้อย ไข่เหล่านั้นก็จะฟักตัวเป็นลูกน้ำและเจริญเติบโตเป็นยุงตัวเต็มวัยได้ นั่นหมายความว่าถ้าหากมีการสะสมของไข่ยุงลายในช่วงฤดูฝนและไม่จัดการกับแหล่งน้ำขังให้ดี แม้ฝนจะหยุดแล้ว แต่ยุงลายก็พร้อมแพร่ระบาดโรคได้อีกครั้ง
- สภาพอากาศเอื้อต่อการออกหาอาหารของยุง : เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นระบบไหลเวียนเลือดของยุงจะดีขึ้น ยุงลายจะรีบออกมากินเลือดคน ทำให้โรคไข้เลือดออกแพร่กระจายรวดเร็ว
- แหล่งเพาะพันธุ์ยังอยู่ : หลายครัวเรือนอาจเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงหน้าแล้ง แต่กลับละเลยการปิดฝาภาชนะ หรือปล่อยให้มีน้ำขังตามจุดต่างๆ รอบบ้าน เช่น ถังน้ำ กระถางต้นไม้ หรือแม้แต่ขวดพลาสติกเก่า สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายโดยไม่รู้ตัว
กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังไข้เลือดออกหลังหน้าฝน
แม้ว่าไข้เลือดออกจะสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ก็มีบางกลุ่มที่มีโอกาสเจ็บป่วยรุนแรงหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนมากกว่าคนทั่วไป ซึ่งควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ได้แก่
- เด็ก : เนื่องจากภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงเต็มที่ มักใช้เวลาอยู่ร่วมกับผู้อื่นในโรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็ก ซึ่งยุงลายสามารถกัดต่อเนื่องได้โดยไม่มีใครสังเกต ทำให้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้างอย่างรวดเร็ว [6]
- ผู้สูงอายุ : ระบบภูมิคุ้มกันของผู้สูงอายุมีแนวโน้มเสื่อมถอยลงและมักมีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ หรือโรคไต ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเสริมให้ร่างกายฟื้นตัวได้ช้าลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือเสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกได้ [3]
- ผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อน : การติดเชื้อไวรัสเดงกีครั้งแรกอาจมีอาการไม่รุนแรง แต่ถ้าหากได้รับเชื้อซ้ำจากสายพันธุ์ที่ต่างกันอาจกระตุ้นให้ร่างกายมีปฏิกิริยารุนแรงจนนำไปสู่ภาวะช็อกหรือเลือดออกในอวัยวะ ภายใน ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง [8]
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือมีโรคเรื้อรัง : เช่น ผู้ป่วยเบาหวานระยะลุกลาม ผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัด ผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกันกลุ่มเหล่านี้หากติดเชื้อไวรัสเดงกีจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนสูงกว่าคนทั่วไป [3]
- หญิงตั้งครรภ์ : การติดเชื้อไวรัสเดงกีในช่วงระหว่างตั้งครรภ์ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด หรือบางกรณีอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้ [3]
วิธีสังเกตอาการของโรคไข้เลือดออก
ในระยะเริ่มต้น อาการของไข้เลือดออกอาจคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา ทำให้หลายคนชะล่าใจและไม่ได้รับการวินิจฉัยหรือรักษาอย่างทันท่วงที การรู้จักลักษณะอาการของโรคนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยทั่วไปอาการไข้เลือดออกสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้
1. ระยะไข้สูง (Febrile Phase) [2,3]
ระยะนี้เป็นระยะแรกที่เชื้อกำลังแพร่กระจาย อาการอาจไม่รุนแรงมาก และมักเกิดขึ้นในช่วง 1-3 วันแรกหลังเริ่มมีอาการป่วย
ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเฉียบพลันอยู่ที่ประมาณ 39-41 องศาเซลเซียส ต่อเนื่องติดต่อกัน 2-7 วัน อาการโดยรวมจะคล้ายหวัดแต่ไม่มีอาการไอและไม่มีน้ำมูก โดยผู้ป่วยในระยะนี้มักมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น
- ปวดศีรษะรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก
- มีอาการเจ็บตาลึกๆ เมื่อกลอกตาหรือขยับดวงตา
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อต่อ
- มีผื่นแดงหรือตุ่มแดงบนผิวหนัง
- เลือดออกง่ายผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล, เลือดออกตามไรฟัน หรือจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง (Petechiae)
ผู้ป่วยระยะนี้เมื่อได้รับยาลดไข้อาจช่วยให้อาการบรรเทาลงได้เล็กน้อย ทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นไข้หวัดใหญ่หรือไข้ไวรัสทั่วไป แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อยาหมดฤทธิ์อาการจะกลับมาเหมือนเดิมและเข้าสู่ระยะถัดไป
2. ระยะวิกฤต (Critical Phase) [2,3]
ระยะวิกฤติเป็นระยะอันตรายที่สุด เนื่องจากไข้จะลดลงและทำให้ผู้ป่วยเข้าใจว่ากำลังหายป่วย แต่จริงๆ แล้วเป็นระยะที่ควรเฝ้าระวังมาก เพราะเป็นระยะที่ผู้ป่วยมักมีความดันโลหิตต่ำมาก และบางรายอาจมีอาการพลาสมารั่วไหลออกนอกเส้นเลือด ทำให้มีอาการเหมือนสูญเสียของเหลวหรือเลือดจากร่างกายจนอาจทำให้เกิดภาวะช็อกและรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
นอกจากนี้ ในระยะวิกฤติยังมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ดังนี้
- มีอาการอ่อนแรงมาก ไม่สามารถลุกขึ้นได้ หรือรู้สึกหมดแรงผิดปกติ
- มือเท้าเย็น เหงื่อออก ตัวซีด อาจเป็นสัญญาณของภาวะช็อก
- ปวดท้องรุนแรงและต่อเนื่อง กดแล้วเจ็บบริเวณชายโครงขวา
- เลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล, เลือดออกตามไรฟัน, อาเจียนเป็นเลือด หรือขับถ่ายเป็นเลือด
- หายใจลำบาก แน่นหน้าอก อาจเกิดจากภาวะน้ำรั่วออกจากเส้นเลือด ทำให้ปอดบวมน้ำ
- ปัสสาวะน้อยลงหรือไม่ปัสสาวะเลย บ่งชี้ว่าร่างกายเข้าสู่ภาวะขาดน้ำรุนแรงและไตกำลังมีปัญหา
- สับสน กระสับกระส่าย หรือหมดสติ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
หากมีไข้สูงติดต่อกันเกิน 2 วันแล้วอาการยังแย่ลง ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาทันที เนื่องจากการได้รับการดูแลไม่ถูกวิธีอาจส่งผลให้โรคทรุดหนักและเสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้ แต่ถ้าหากได้รับการดูแลรักษาโดยแพทย์อย่างทันท่วงที อาการของระยะนี้จะดีขึ้นได้ภายใน 2-3 วัน
3. ระยะฟื้นตัว (Recovery Phase) [2,3]
หากผ่านระยะวิกฤตมาได้จะเข้าสู่ระยะฟื้นตัว ซึ่งเป็นระยะปลอดภัย โดยอาการของผู้ป่วยจะค่อยๆ ดีขึ้น ร่างกายกลับมาทำงานได้ดีและทำให้มีเรี่ยวแรงมากขึ้นกว่าเดิม โดยอาการสำคัญในระยะนี้ ได้แก่
- ไข้ลดลงและเริ่มรู้สึกดีขึ้น
- ชีพจรและความดันโลหิตกลับมาเป็นปกติ
- ปัสสาวะเพิ่มขึ้น การทำงานของไตกลับมาปกติ
- ผื่นขึ้นทั่วตัว มีลักษณะเป็นผื่นแดงที่ลอกเป็นขุยๆ แต่ไม่คัน
- ความอยากอาหารกลับคืนมา เนื่องจากร่างกายเริ่มฟื้นตัวจากการสูญเสียพลังงาน
แม้ว่าจะผ่านพ้นภาวะวิกฤตไปแล้ว ผู้ป่วยอาจยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่หลายวันหรือหลายสัปดาห์ จึงควรได้รับการดูแลและติดตามอาการอย่างใกล้ชิด หากพบอาการผิดปกติควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการประเมินและทำการรักษาทันที4
วิธีป้องกันไข้เลือดออกช่วงหน้าฝน
ปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยไข้เลือดออกโดยเฉพาะ ดังนั้นวิธีการป้องที่ดีคือการหลีกเลี่ยงแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เลี่ยงไม่ให้ยุงกัด และการฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ลดความรุนแรงของโรค รวมถึงลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน
1. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย [5]
- คว่ำภาชนะที่ไม่ใช้และสามารถขังน้ำได้ เช่น กระถางต้นไม้, จานรอง, แจกัน หรือขันน้ำ
- เปลี่ยนน้ำในแจกันหรืออ่างบัว ทุกๆ 7 วัน
- ปิดฝาภาชนะใส่น้ำให้มิดชิด ป้องกันยุงลายวางไข่
- ใส่ทรายป้องกันยุงหรือทรายอะเบทในภาชนะเก็บน้ำ เพื่อยับยั้งลูกน้ำ
- กำจัดขยะ เศษภาชนะ หรือยางรถเก่าที่อาจมีน้ำขัง
- เลี้ยงปลาเล็ก เช่น ปลาหางนกยูง เพราะปลาเหล่านี้สามารถช่วยกินลูกน้ำยุงลายได้
2. ป้องกันไม่ให้ยุงกัด [5]
- ทายากันยุง โดยเฉพาะเด็กเล็ก ควรเลือกชนิดที่ปลอดภัยและมีการรับรองจาก อย.
- สวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีต้นไม้หรือแหล่งน้ำ
- ติดมุ้งลวดกับประตูหรือหน้าต่าง
- ใช้มุ้งนอน โดยเฉพาะเด็กหรือผู้ป่วยที่มีอาการไข้ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
- เปิดพัดลมหรือใช้แอร์ เพราะยุงลายไม่ชอบอากาศเย็นและลมแรง
3. การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก
การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกเป็นอีกหนึ่งวิธีในการป้องกันการติดเชื้อไข้เลือดออก โดยประเทศไทยมีวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกที่ใช้อยู่ 2 ชนิด ได้แก่ วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 2 เข็ม และวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 3 เข็ม ดังนี้
- วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 2 เข็ม : แต่ละเข็มจะฉีดห่างกัน 3 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 4 ปีขึ้นไป สามารถฉีดได้ทั้งผู้ที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน โดยไม่จำเป็นต้องเจาะเลือดหรือตรวจภูมิคุ้มกันโรคไข้เลือดออกก่อน [7]
- วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 3 เข็ม : แต่ละเข็มจะฉีดห่างกัน 6 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 6-45 ปี และมีประวัติเคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อน [7]
ข้อห้ามใช้ ห้ามให้ในหญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง [9]
ถึงแม้จะไม่ใช่หน้าฝน แต่การป้องกันไข้เลือดด้วยการหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค ป้องกันตัวเองไม่ให้ยุงกัด กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง หรือการฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกก็ยังเป็นสิ่งสำคัญอยู่
นอกจากนี้ การเฝ้าระวังอาการหลังถูกยุงกัดก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน หากมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดข้อ หรือมีผื่นขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
ที่มา
- World Health Organization (WHO): Dengue and severe dengue.
- คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล: “ไข้เลือดออก .. ภัยร้ายใกล้ตัว”.
- กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข: “แนวทางการวินิจฉัยและการดูแลรักษาผู้ป่าวยโรคไข้เลือดออกเดงกีในผู้ใหญ่”.
- กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข: 'โลกร้อน’ยุงลายอายุยืนไข้เลือดออกเพิ่ม10เท่า.
- กรมควบคุมโรค: ไข้เด็งกี่ (Dengue) .
- สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ: เข้าหน้าร้อนระวัง“ยุงลาย”.
- สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย: “ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย แนะนำโดย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย 2568”.
- โรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา: ไข้เลือดออก อย่าปล่อยให้เป็นซ้ำ อันตรายถึงชีวิต
- คำแนะนำการให้วัคซีนป้องกันโรคสำหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ พ.ศ. 2568: สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย - Infectious Disease Association of Thailand
“ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นสำหรับประชาชนเป็นการทั่วไปโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการให้ข้อมูลเท่านั้น ข้อมูลนี้ไม่ควรถูกนำไปใช้เพื่อวินิจฉัยหรือรักษาปัญหาสุขภาพหรือโรคใด ๆ การให้ข้อมูลดังกล่าวนี้ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการทดแทนการปรึกษากับผู้ให้บริการทางการแพทย์ โปรดปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ของท่านสำหรับคำแนะนำเพิ่มเติม”
C-ANPROM/TH/DENV/0777: Jun 2025