เจอตุ่มตรงหัวนมคืออะไร

เด็ก14มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมมั้ย

มะเร็งเต้านมโดยทั่วไปพบในผู้หญิงวัยผู้ใหญ่ โดยเฉพาะช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไปค่ะ โอกาสที่จะเกิดโรคนี้ในเด็กอายุ 14 ปีถือว่ามีโอกาสน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้ค่ะ สาเหตุการเกิดมะเร็งเต้านมในวัยเด็กบางครั้งอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางพันธุกรรมหรือผิดปกติทางเซลล์ เช่น โรคที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการทางพันธุกรรมที่หายากค่ะ

สิ่งที่อาจทำให้กังวลกับเด็กวัยรุ่น เช่น

  • พบก้อนในเต้านม: ในวัยรุ่น ก้อนในบริเวณเต้านมส่วนใหญ่เกิดจากการเจริญเติบโตของต่อมน้ำนม หรือภาวะที่เรียกว่า “fibroadenoma” ซึ่งเป็นก้อนเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงค่ะ
  • การเปลี่ยนแปลงในเนื้อเยื่อเต้านมที่เกิดขึ้นตามฮอร์โมนเพศในวัยรุ่น อาจสร้างความกังวลให้ผู้ปกครอง แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นมะเร็งค่ะ

อย่างไรก็ตาม หากมีอาการผิดปกติ เช่น ก้อนที่มีลักษณะแข็งโตขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ปวดเต้านมผิดปกติ หรือบริเวณเต้านมมีผื่นแปลกๆ หรือผิวหนังเปลี่ยนแปลง ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมนะคะ การตรวจสุขภาพที่ดีและความเข้าใจที่ถูกต้องจะช่วยลดความกังวลได้ค่ะ

เจอตุ่มตีงหัวนมคืออะไร

ตุ่มตรงหัวนมสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุและไม่เสมอว่าเป็นอาการที่น่ากังวลค่ะ โดยทั่วไปตุ่มเล็กๆ รอบบริเวณหัวนมจะเรียกว่า “Montgomery glands” ซึ่งเป็นต่อมชนิดหนึ่งที่มีไว้เพื่อช่วยในการหล่อลื่นและดูแลผิวบริเวณรอบหัวนมให้ชุ่มชื้นค่ะ แต่ถ้าตุ่มที่สังเกตเห็นมีลักษณะที่แตกต่างหรือปรากฏพร้อมกับอาการอื่น เช่น การเจ็บปวด บวม หรือเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง อาจจำเป็นต้องตรวจสอบเพิ่มเติมค่ะ

  • สาเหตุทั่วไปของตุ่มตรงหัวนม:

    1. Montgomery glands: ดังกล่าวข้างต้น ตุ่มเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ
    2. สิวหรือกลุ่มไขมันอุดตัน: เกิดจากรูขุมขนอุดตัน มีลักษณะคล้ายสิวบนผิวหนังส่วนอื่น
    3. การระคายเคืองหรือแพ้: ผลจากการสวมใส่ชุดชั้นในรัดแน่นหรือสารเคมีในสบู่และผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • กรณีที่อาจต้องระวัง:

    1. การติดเชื้อ: เช่น การติดเชื้อราหรือแบคทีเรียที่อาจทำให้เกิดตุ่มและการเจ็บปวด โดยเฉพาะหากมีลักษณะบวมแดงหรือเกิดหนอง
    2. ก้อนเนื้อผิดปกติ: หากตุ่มมีการโตขึ้นหรือเปลี่ยนรูปร่าง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเช็ค
    3. โรคผิวหนังเรื้อรัง: เช่น eczema หรือ psoriasis ที่อาจส่งผลให้หัวนมมีตุ่มและการลอกของผิวหนัง

ถ้าตุ่มที่พบไม่ได้มีอาการเจ็บ ปวด หรือเปลี่ยนแปลงใดๆ อย่างน่าห่วง โอกาสที่มันจะเป็นอันตรายมักต่ำค่ะ แต่ถ้าตุ่มไม่หายไปในระยะเวลาหนึ่งหรือมีความผิดปกติที่เพิ่มขึ้น แนะนำให้พบแพทย์เพื่อให้การวินิจฉัยชัดเจนค่ะ