หมอไม่ได้นัดฉีดพิษสุนัขเข็มที่4-5 แต่ว่าถูกกัดอีกหลังจากเข็ม3ประมาณ1อาทิตย์ต้องทำยังไง
กรณีที่คุณได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าไปแล้วเข็มที่ 3 แต่ไม่ได้รับเข็มที่ 4 และ 5 ซึ่งเป็นเข็มเสริมตามมาตรฐาน และถูกกัดซ้ำในช่วงเวลาหลังเข็มที่ 3 ประมาณ 1 สัปดาห์ มีวิธีปฏิบัติที่แนะนำดังนี้ค่ะ:
-
ปรึกษาแพทย์ทันที: หากถูกกัดซ้ำ การแจ้งให้แพทย์หรือสถานพยาบาลที่เกี่ยวข้องทราบเป็นสิ่งสำคัญค่ะ เพื่อให้แพทย์สามารถประเมินสถานการณ์ได้อย่างถูกต้องว่าต้องฉีดวัคซีนเพิ่มเติมหรือไม่ หรือจะต้องเริ่มต้นการรักษาใหม่ทั้งหมดค่ะ
-
ประเมินความเสี่ยงของแผลกัด:
- หากแผลถูกกัดลึกหรือมีเลือดออก ต้องทำความสะอาดแผลด้วยน้ำและสบู่อย่างละเอียด แล้วจึงใช้ยาฆ่าเชื้อ เช่นแอลกอฮอล์หรือเบตาดีนค่ะ
- หากสัตว์ที่กัดคุณมีพฤติกรรมผิดปกติ เช่น ก้าวร้าว หรือน่าสงสัยว่าอาจจะติดเชื้อพิษสุนัขบ้า ต้องรีบนำไปตรวจหรือจัดการตามขั้นตอนค่ะ
-
การฉีดวัคซีนเพิ่มเติม:
- หากคุณเคยได้รับวัคซีนครบในอดีตและถูกกัดซ้ำโดยสัตว์ต้องสงสัย แพทย์อาจพิจารณาให้คุณฉีดวัคซีนเสริมอีก 2 เข็มในวันที่ 0 (วันที่ถูกกัด) และวันที่ 3 ค่ะ
- กรณีที่คุณยังไม่ได้รับทั้งเข็ม 4 และ 5 อาจต้องการเริ่มต้นโปรแกรมวัคซีนใหม่เพื่อความปลอดภัยค่ะ
-
ตรวจสอบสัตว์ที่กัด: หากสัตว์ที่กัดสามารถกักตัวได้ ควรเฝ้าดูอาการสัตว์ประมาณ 10 วัน หากสัตว์ยังปกติ ไม่เสียชีวิตหรือน่าสงสัย คุณอาจไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนเพิ่มเติมค่ะ
กรุณาอย่าละเลยเรื่องนี้นะคะ โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคร้ายแรงที่สามารถทำให้เสียชีวิตได้ แต่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนค่ะ ดังนั้นโปรดรีบปรึกษาแพทย์หรือสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุดค่ะ
หากฉีดแค่3เข็มเพียวพอหรือไม่ โดนกัดอีกต้องเริ่มฉีดใหม่หรือไม่
หากคุณได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าไปแล้วที่ครบ 3 เข็มแรก แต่อาจไม่ได้ฉีดครบตามโปรแกรมที่มีทั้งหมด 5 เข็ม และถูกกัดซ้ำ คำตอบและแนวทางปฏิบัติจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์และระยะเวลาหลังจากที่ฉีดวัคซีนเข็มสุดท้ายดังนี้ค่ะ:
-
วัคซีน 3 เข็มไม่ถือว่าเพียงพอสำหรับการป้องกันระยะยาว
โดยปกติ โปรแกรมฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามาตรฐานประกอบด้วย 5 เข็ม (Day 0, 3, 7, 14, และ 28) การฉีดแค่ 3 เข็มมักไม่เพียงพอสำหรับการสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในระยะยาว หากคุณโดนกัดอีกหลังจากที่ได้รับวัคซีนแค่ 3 เข็ม แพทย์จะต้องประเมินว่าอาจจำเป็นต้องเริ่มโปรแกรมการฉีดวัคซีนใหม่ หรือฉีดเสริมในกรณีที่ฉีดครบตามมาตรฐานแล้วค่ะ -
การปฏิบัติเมื่อต้องฉีดวัคซีนอีกครั้ง
- กรณีที่ไม่ได้ฉีดครบ 5 เข็ม และถูกกัดอีก คุณอาจต้องเริ่มฉีดวัคซีนใหม่ทั้งหมดค่ะ สำหรับแนวทางทั่วไป แพทย์จะเริ่มต้นการรักษาด้วยการฉีดวัคซีนตั้งแต่ Day 0, 3, 7 เป็นต้นเพื่อความปลอดภัย
- กรณีที่ฉีดครบ 5 เข็ม และมีการสัมผัสสัตว์อีก คุณอาจต้องรับการฉีดวัคซีนกระตุ้นเพิ่มเติม 2 เข็ม (Day 0 และ Day 3) โดยที่ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดค่ะ
-
อื่น ๆ ที่ควรทราบ
- หากสัตว์ที่กัดสามารถเฝ้าสังเกตได้ อาจไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนเพิ่มเติมในทันที แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงค่ะ
- โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่มีทางรักษาเมื่อแสดงอาการ ดังนั้นการได้รับวัคซีนอย่างครบถ้วนเป็นสิ่งจำเป็นค่ะ
หากคุณยังมีข้อสงสัยเพิ่มเติมแนะนำให้รีบพบแพทย์หรือสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเพื่อขอคำแนะนำในการป้องกันนะคะ
เปลี่ยนจากฉีดI’dเป็นฉีดimทำได้หรือไม่
การเปลี่ยนวิธีฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าจากวิธีการฉีดเข้าในผิวหนัง (Intradermal: ID) เป็นการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (Intramuscular: IM) สามารถทำได้ในบางกรณี แต่อยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขค่ะ โดยมีคำอธิบายดังนี้:
-
การเปลี่ยนวิธีฉีดวัคซีน:
- หากคุณเริ่มโปรแกรมวัคซีนด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เช่น ID หรือ IM ควรพยายามใช้วิธีเดิมให้ครบทั้งโปรแกรมเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
- อย่างไรก็ตาม หากมีสาเหตุหรือข้อจำกัดที่ทำให้ไม่สามารถฉีดวัคซีนวิธีเดิมต่อได้ เช่น การขาดวัคซีนสำหรับการฉีด ID หรือข้อสงสัยในการปฏิบัติตามมาตรฐาน สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนวิธีฉีดเป็น IM ได้ค่ะ
-
คำแนะนำเมื่อเปลี่ยนวิธีฉีด:
- หากเปลี่ยนจาก ID เป็น IM ในระหว่างโปรแกรม ระบบภูมิคุ้มกันจะยังคงรับวัคซีนได้ดี โดยแพทย์จะปรับปริมาณวัคซีนและรอบการฉีดให้เหมาะสม
- สำหรับ IM การใช้วัคซีนจะอยู่ในขนาดเต็มโดสที่มากกว่า ID ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่เสี่ยงหรือไม่เสถียร เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัว
-
สิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับการเปลี่ยนวิธีการฉีด:
- การฉีด ID ใช้ปริมาณวัคซีนน้อยกว่าและถูกวิจัยว่ามีประสิทธิภาพดีในกลุ่มประชากรทั่วไปเมื่อเทียบกับ IM แต่ต้องใช้ทักษะการฉีดที่แม่นยำ
- IM เหมาะกับกลุ่มที่ต้องการการป้องกันที่แน่นอน หรือพื้นที่ที่การฉีด ID ไม่สามารถทำได้อย่างถูกต้อง เช่น ในสถานพยาบาลที่ขาดผู้ชำนาญการ
เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด แนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือสถานพยาบาลที่ทำการฉีดวัคซีน เพื่อขอแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้องค่ะ อย่าลืมแจ้งให้แพทย์ทราบถึงประวัติการฉีดวัคซีนและเงื่อนไขที่เปลี่ยนไปด้วยนะคะ