รักษาสิวฮอร์โมน ทำยังไงให้หายเร็ว?
การรักษาสิวฮอร์โมนให้หายอย่างรวดเร็วต้องอาศัยการดูแลที่ครอบคลุมทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่เหมาะสม และในบางกรณีอาจต้องได้รับการปรึกษาจากแพทย์ค่ะ สิวฮอร์โมนมักเกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย ส่งผลให้เกิดการผลิตน้ำมันส่วนเกินและการอุดตันของรูขุมขนได้ง่าย ดังนั้นการจัดการต้องครบทั้งภายนอกและภายในค่ะ
แนวทางต่าง ๆ ที่ควรปฏิบัติมีดังนี้:
-
การดูแลผิวและเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม:
- ล้างหน้าเบา ๆ วันละ 2 ครั้งด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน ไม่ระคายเคืองผิว
- ใช้สกินแคร์หรือครีมที่ประกอบด้วยส่วนผสมที่ช่วยลดการอุดตัน เช่น ซาลิไซลิกแอซิด (Salicylic Acid) หรือเบนซอยเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide)
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมัน (Oil-based) หากผิวมันหรือเป็นสิวง่าย
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำ เพื่อป้องกันรอยดำหรือผิวไหม้จากแดด
-
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม:
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าบ่อย ๆ เช่น การจับหรือแกะสิว
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
- ลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง อาหารมัน ๆ หรืออาหารแปรรูป
-
การดูแลจากภายใน:
- ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
- หากสิวเกิดขึ้นเนื่องจากฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เช่น รอบประจำเดือน อาจต้องปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาด้วยฮอร์โมนหรือยาต้านสิวเฉพาะที่
- บางคนอาจได้รับประโยชน์จากอาหารเสริม เช่น สังกะสี (Zinc) หรือ Evening Primrose Oil โดยควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก่อนเริ่มใช้
หากสิวฮอร์โมนไม่ดีขึ้นแม้ปฏิบัติตามคำแนะนำเบื้องต้น หรือสิวมีความรุนแรงมาก ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำหรือใช้ยาเฉพาะ อาทิเช่น ยาทาเรตินอยด์ ยาปฏิชีวนะ หรือในบางกรณีแพทย์อาจพิจารณาให้ยาในกลุ่มฮอร์โมนค่ะ
รอบประจำเดือนมาไม่ปกติ และเวลาประจำเดือนมาเจ็บท้องมากๆ
การที่รอบประจำเดือนมาไม่ปกติและรู้สึกเจ็บท้องมากขณะมีประจำเดือนอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ภาวะฮอร์โมนผิดปกติ โรคที่เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ หรือการมีความเครียดสะสมค่ะ การจัดการและดูแลปัญหาในลักษณะนี้ต้องแยกเป็นการดูแลเบื้องต้นและคำแนะนำสำหรับการปรึกษาแพทย์ค่ะ โดยสาเหตุที่พบบ่อยและวิธีดูแลมีดังนี้:
สาเหตุของประจำเดือนมาไม่ปกติและเจ็บท้องรุนแรง:
- ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล: มีผลต่อรอบประจำเดือน เช่น ประจำเดือนมาช้าหรือบ่อยผิดปกติ หรือปวดท้องมากเมื่อมีประจำเดือน
- โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis): ทำให้ปวดท้องรุนแรงในช่วงมีประจำเดือน
- โรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS): ส่งผลให้รอบประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอและอาจทำให้เจ็บท้องมาก
- ภาวะเครียดหรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ: ส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมนและการหลั่งสารที่เกี่ยวข้องกับการปวด
การดูแลเบื้องต้น:
- ใช้ยาแก้ปวด เช่น ยากลุ่มไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือยากลุ่มพาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อบรรเทาอาการปวด
- ประคบร้อนที่หน้าท้องหรือบริเวณที่เจ็บ เพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
- ลดความเครียดด้วยการทำสมาธิ หรือการออกกำลังกายเบา ๆ เช่น โยคะ
- รับประทานอาหารที่มีสารอาหารสูงและลดการบริโภคน้ำตาลหรืออาหารที่ไขมันสูง
- ดื่มน้ำมาก ๆ และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน
เมื่อใดควรปรึกษาแพทย์:
- หากรอบประจำเดือนมาไม่ปกติเป็นเวลานานหลายเดือน หรือมีรอบห่างเกิน 35 วัน
- หากมีอาการปวดท้องรุนแรงที่ยาแก้ปวดไม่สามารถบรรเทาได้
- หากมีอาการอื่น ๆ ร่วม เช่น มีตกขาวผิดปกติ หรือเลือดออกผิดปกติระหว่างรอบประจำเดือน
- แพทย์อาจพิจารณาทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น อัลตราซาวด์ หรือการตรวจฮอร์โมนเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
หากปัญหายังคงเป็นอยู่หรือมีความรุนแรงมากขึ้น แนะนำให้พบสูตินรีแพทย์เพื่อรับคำวินิจฉัยโดยละเอียด เพราะโรคที่เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์บางชนิดสามารถรักษาได้แต่ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญค่ะ