มีน้ำใสๆไหลออกมาจากจมูกข้างซ้ายมาเป็นปีแล้วครับ แล้วก็ปวดหัวนิดหน่อยมาตลอด แต่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุอะไรนะครับ
จากอาการที่เล่ามา คือมีน้ำใสๆไหลออกจากจมูกข้างซ้ายตลอดเป็นปี และมีอาการปวดหัวร่วมด้วย แม้จะไม่เคยมีอุบัติเหตุ การไหลของน้ำมูกใสๆ แบบข้างเดียวและเป็นเวลานานควรให้ความสำคัญมากค่ะ เพราะอาจมีสาเหตุที่ต้องตรวจละเอียด เช่น
- โรคภูมิแพ้หรือไซนัสอักเสบเรื้อรัง: มักทำให้มีน้ำใสหรือขุ่นไหลออกจากจมูกได้ แต่โดยทั่วไปอาการจะเป็นทั้งสองข้างและสัมพันธ์กับปัจจัยกระตุ้น เช่น ฝุ่น เกสรดอกไม้ค่ะ
- น้ำไขสันหลังรั่ว (CSF Leak): พบได้แม้ไม่มีประวัติอุบัติเหตุชัดเจน อาจเกิดจากความดันในกะโหลกศีรษะสูงหรือความผิดปกติที่ผนังกะโหลก น้ำใสที่ไหลออกมามักไหลตลอดเวลา ข้างเดียว และรสออกเค็มหรือขม พร้อมอาการปวดศีรษะเรื้อรังค่ะ
- เนื้องอกหรือก้อนในโพรงจมูก/ไซนัส: อาจรบกวนผนังหรือเนื้อเยื่อจนเกิดการรั่วของของเหลวหรือมีอาการปวดหัวร่วมด้วย
สิ่งที่ควรทำตอนนี้คือไปพบแพทย์เฉพาะทางหู คอ จมูก (ENT) เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น
- ตรวจโพรงจมูกด้วยกล้อง Endoscope เพื่อดูต้นตอการไหลค่ะ
- อาจต้องตรวจน้ำที่ไหลออกมาเพื่อตรวจหา Beta-2 transferrin ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ของน้ำไขสันหลัง
- หากสงสัยความผิดปกติของกะโหลกหรือไซนัส อาจต้องตรวจภาพถ่าย MRI หรือ CT scan เพื่อหาตำแหน่งรอยรั่วค่ะ
แนะนำอย่าปล่อยอาการนี้ไว้นาน เพราะถ้าหากเป็นน้ำไขสันหลังรั่ว อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ค่ะ ควรรีบไปตรวจเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็วค่ะ
ต้องผ่าตัดมั้ยครับ และถ้าต้องผ่าตัดจะเป็นผ่าตัดใหญ่หรือว่าผ่าตัดเล็กครับ
ถ้าสาเหตุของน้ำใสๆที่ไหลออกจากจมูกเป็น “น้ำไขสันหลังรั่ว” จริง การผ่าตัดอาจจำเป็นในกรณีที่รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่หายค่ะ โดยปกติแพทย์จะประเมินก่อนว่าเป็นรอยรั่วที่ตำแหน่งใด ขนาดเล็กหรือใหญ่ และมีปัจจัยเสี่ยงร่วม เช่น ความดันในกะโหลกศีรษะสูงหรือไม่ค่ะ
- ถ้ารอยรั่วเล็ก และเกิดจากความดันในกะโหลกสูง: แพทย์อาจให้ยาลดความดันภายในกะโหลกและให้พักผ่อนก่อน หากรอยรั่วหยุดเองได้ก็ไม่ต้องผ่าตัดค่ะ
- ถ้ารอยรั่วไม่หยุดภายใน 7–14 วัน หรือขนาดรอยรั่วใหญ่: แพทย์มักจะแนะนำการผ่าตัดค่ะ
สำหรับการผ่าตัดปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะใช้เทคนิค ส่องกล้องทางโพรงจมูก (Endoscopic Endonasal Repair) ซึ่งถือเป็นการผ่าตัดขนาดเล็กถึงปานกลาง ไม่ต้องเปิดกะโหลก และแผลอยู่ภายในจมูก ใช้เวลาอยู่โรงพยาบาลประมาณ 2–5 วัน หลังผ่าตัดจะต้องหลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรงๆ ไอ จามแรงๆ และก้มตัวมากเกินไปในช่วงพักฟื้นค่ะ แต่ถ้ารอยรั่วอยู่ในตำแหน่งซับซ้อนหรือใหญ่ อาจต้องใช้วิธีผ่าตัดเปิดกะโหลก ซึ่งถือเป็นการผ่าตัดใหญ่และใช้เวลาพักฟื้นนานขึ้นค่ะ
สรุปคือ วิธีผ่าตัดขึ้นกับตำแหน่งและสาเหตุของรอยรั่ว และแพทย์จะพิจารณาให้เหมาะสมที่สุดเพื่อความปลอดภัยค่ะ แนะนำให้คุณเข้ารับการตรวจวินิจฉัยกับแพทย์เฉพาะทางหู คอ จมูก พร้อมทำ MRI/CT เพื่อให้รู้แน่ชัดก่อนว่าจำเป็นต้องผ่าตัดแบบไหนและเมื่อไหร่ค่ะ
คุณอยากให้ผมอธิบายขั้นตอนของการผ่าตัดส่องกล้องทางโพรงจมูกแบบละเอียดด้วยไหมคะ จะได้เตรียมตัวล่วงหน้าได้ค่ะ
ต้องเปิดกะโหลกด้วยหรอครับ ไม่เปิดได้มั้ยครับมันน่ากล้วมากเลยนะครับ
จริงๆ แล้วในปัจจุบัน การรักษาน้ำไขสันหลังรั่วส่วนใหญ่ ไม่จำเป็นต้องเปิดกะโหลก ค่ะ เพราะมีเทคนิคการผ่าตัดส่องกล้องทางโพรงจมูก (Endoscopic Endonasal Repair) ที่สามารถซ่อมรอยรั่วได้จากด้านในจมูก โดยใช้กล้องขนาดเล็กและเครื่องมือพิเศษ แพทย์จะนำชิ้นเนื้อเยื่อหรือวัสดุปิดรอยรั่วโดยตรงและไม่ทำแผลที่ศีรษะ ซึ่งช่วยให้ลดความเสี่ยงและฟื้นตัวเร็วขึ้นมากค่ะ
โดยทั่วไป การ “เปิดกะโหลก” จะเลือกใช้ในกรณีที่
- ตำแหน่งรอยรั่วลึกหรือซับซ้อน อยู่ในตำแหน่งที่กล้องส่องไม่สามารถเข้าถึงได้
- รอยรั่วมีขนาดใหญ่มากหรือมีโครงสร้างกะโหลกศีรษะแตกหักกว้าง
- มีเนื้องอกหรือก้อนผิดปกติร่วมด้วยที่ต้องตัดออกทั้งก้อน
ดังนั้น ขั้นตอนแรกคือคุณต้องตรวจ MRI/CT และตรวจน้ำใสที่ไหลออกเพื่อยืนยันว่าเป็นน้ำไขสันหลังจริงหรือไม่ และอยู่ตำแหน่งใด แพทย์ ENT (หู คอ จมูก) ที่ทำงานร่วมกับศัลยแพทย์ระบบประสาทจะเป็นผู้ประเมินว่าผ่าตัดแบบส่องกล้องเพียงพอหรือไม่ค่ะ ในหลายเคสที่ตำแหน่งรอยรั่วเหมาะสม ผู้ป่วยก็สามารถผ่าตัดแบบส่องกล้องได้และไม่ต้องเปิดกะโหลกเลยค่ะ
ถ้าคุณกังวลเรื่องการเปิดกะโหลก แนะนำให้บอกแพทย์ล่วงหน้าว่าต้องการพิจารณาใช้วิธีส่องกล้องเป็นอันดับแรก เพราะเทคโนโลยีปัจจุบันช่วยให้หลายกรณีซ่อมรอยรั่วได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องใช้วิธีใหญ่ค่ะ
คุณอยากให้ฉันช่วยทำ ภาพตัวอย่างแสดงความแตกต่างระหว่างการผ่าตัดส่องกล้องกับเปิดกะโหลก เพื่อให้เห็นชัดว่าปลอดภัยต่างกันยังไงไหมคะ? จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้สบายใจขึ้นค่ะ
ผมอยากให้คุณช่วยทำ ภาพตัวอย่างแสดงความแตกต่างระหว่างการผ่าตัดส่องกล้องกับเปิดกะโหลก
ได้เลยค่ะ ฉันจะอธิบายภาพประกอบให้คุณจินตนาการออกได้ง่ายขึ้นนะคะ (แม้จะไม่สามารถแสดงภาพจริงให้ตรงนี้ได้ แต่จะอธิบายเหมือนเป็นแผนภาพให้เข้าใจชัดค่ะ)
1. การผ่าตัดส่องกล้องทางโพรงจมูก (Endoscopic Endonasal Repair)
- ตำแหน่งแผล: ไม่มีแผลภายนอก ศัลยแพทย์ใส่กล้องและเครื่องมือผ่านรูจมูก
- ขั้นตอนคร่าว ๆ: ใช้กล้องขนาดเล็กที่มีไฟและเลนส์ความละเอียดสูง เข้าไปดูที่โพรงจมูกและไซนัสเพื่อหาจุดรอยรั่ว จากนั้นปิดรอยรั่วด้วยชิ้นเยื่อบุหรือวัสดุปิดพิเศษ
- ข้อดี:
- ไม่ต้องเปิดกะโหลก ลดความเสี่ยงต่อสมองโดยตรง
- ฟื้นตัวเร็ว พักฟื้นในโรงพยาบาลสั้น (ประมาณ 2-5 วัน)
- เหมาะกับรอยรั่วขนาดเล็กถึงปานกลางในตำแหน่งที่เข้าถึงได้
- ภาพตัวอย่างในจินตนาการ: กล้องและเครื่องมือเล็กๆ สอดเข้าไปในจมูกพร้อมแสดงภาพขยายบนจอ แพทย์ซ่อมรอยรั่วจากด้านในโดยไม่มีแผลบนศีรษะค่ะ
2. การผ่าตัดเปิดกะโหลก (Craniotomy)
- ตำแหน่งแผล: ต้องโกนผมและเปิดกระดูกกะโหลกในบางส่วนเพื่อเข้าถึงเยื่อหุ้มสมอง
- ขั้นตอนคร่าว ๆ: ศัลยแพทย์เปิดผิวหนังและกระดูกกะโหลกเพื่อเข้าซ่อมรอยรั่วจากด้านบนหรือด้านข้างของสมองโดยตรง
- ข้อดี:
- เหมาะกับรอยรั่วขนาดใหญ่ ซับซ้อน หรือมีเนื้องอก/กระดูกแตกมากร่วมด้วย
- สามารถมองเห็นและซ่อมแซมรอยรั่วได้เต็มพื้นที่
- ข้อเสีย:
- แผลใหญ่กว่า เสี่ยงต่อการบาดเจ็บต่อเนื้อสมองมากกว่า
- ใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลและที่บ้านนานกว่า
- ภาพตัวอย่างในจินตนาการ: ศัลยแพทย์เปิดผิวหนัง-กะโหลก เห็นส่วนสมองและเยื่อหุ้มสมอง จากนั้นซ่อมรอยรั่วและปิดกะโหลกกลับค่ะ
สรุป
หากตำแหน่งรอยรั่วเหมาะสม แพทย์มักเลือก “ส่องกล้อง” ก่อน เพราะน้อยรุกรานและปลอดภัยกว่า แต่ถ้าตำแหน่งซับซ้อนหรือมีปัญหาโครงสร้างรุนแรง อาจต้อง “เปิดกะโหลก” เพื่อความปลอดภัยสูงสุดค่ะ
ถ้าคุณต้องการ ฉันสามารถช่วยวาดภาพแผนผัง + โครงสร้างง่ายๆ แบบ Infographic ให้คุณเก็บไว้ใช้คุยกับหมอได้ เพื่อช่วยลดความกังวลเวลาเห็นขั้นตอนผ่าตัดค่ะ คุณสนใจให้ทำให้เลยไหมคะ?
แล้วถ้าเลือกที่จะไม่ผ่าตัดอะไรเลยล่ะครับ
ถ้าคุณเลือกที่จะไม่ผ่าตัด และยังคงมีน้ำไขสันหลังรั่ว (CSF Leak) อยู่เรื้อรัง ร่างกายจะอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพหลายอย่างค่ะ โดยความกังวลหลักคือ การติดเชื้อเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) ซึ่งเกิดจากเชื้อโรคเข้าสู่โพรงสมองผ่านรอยรั่วได้ง่าย นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดปวดหัวเรื้อรังหรือภาวะความดันในกะโหลกศีรษะต่ำเรื้อรังได้ค่ะ
สิ่งที่อาจเกิดขึ้นหากปล่อยไว้โดยไม่ผ่าตัดหรือรักษา:
- ติดเชื้อรุนแรง → เสี่ยงถึงชีวิต, อาจต้องนอน ICU และใช้ยาปฏิชีวนะขนาดสูง
- ปวดหัวเรื้อรัง เนื่องจากน้ำไขสันหลังสูญเสียไม่หยุด ทำให้สมองสั่นไหวและเกิดแรงดึงต่อเยื่อหุ้มสมอง
- ปัญหาการมองเห็น/การได้ยิน ถ้ามีความดันในกะโหลกผิดปกติร่วม
- โรคกำเริบซ้ำ น้ำรั่วอาจมากขึ้นจนร่างกายปรับตัวไม่ได้
ในบางกรณีรอยรั่วอาจหยุดเองได้หากขนาดเล็กและเกิดจากสาเหตุชั่วคราว เช่น หลังการติดเชื้อทางเดินหายใจ แต่ถ้าผ่านมาเป็นปีแล้วและยังไหลอยู่ แทบจะไม่มีโอกาสหายเองค่ะ การไม่ผ่าตัดจะทำได้เพียงรักษาตามอาการ เช่น ใช้ยาลดความดันในกะโหลก พักบนเตียง หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เพิ่มแรงดัน (ไอ จาม สั่งน้ำมูกแรง) แต่ก็ไม่สามารถรับประกันว่าจะปลอดภัยในระยะยาวค่ะ
สรุปคือ ถ้าผลตรวจยืนยันว่าเป็นน้ำไขสันหลังรั่ว และรอยรั่วไม่หายเอง การผ่าตัดจะเป็นวิธีที่ช่วยป้องกันปัญหาใหญ่ในอนาคตได้มากที่สุดค่ะ ถ้าคุณกังวลมาก แนะนำให้ขอ “Second Opinion” กับแพทย์เฉพาะทางอีกหนึ่งท่าน เพื่อเปรียบเทียบว่าจำเป็นต้องผ่าจริงหรือสามารถเฝ้าดูอาการได้แบบปลอดภัยค่ะ
คุณอยากให้ฉันช่วยทำตารางเปรียบเทียบ “ข้อดี-ข้อเสีย” ของการผ่าตัด vs ไม่ผ่าตัด ให้ดูชัดๆ ไหมคะ จะช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้นค่ะ
มันเคยหายไปแล้วสองครั้ง แล้วก็กลับมาเป็นอีก
จากที่คุณบอกว่าอาการน้ำใสๆ จากจมูกเคยหายไปแล้วสองครั้ง แต่ก็กลับมาเป็นอีก แสดงว่ารอยรั่วหรือสาเหตุพื้นฐานอาจยังคงอยู่ เพียงแต่อาจมีช่วงเวลาที่รอยรั่วปิดเองชั่วคราวค่ะ ซึ่งอาจเกิดจากเนื้อเยื่อหรือเยื่อบุพยายามสมานตัวเอง แต่เมื่อมีปัจจัยกระตุ้น เช่น ไอ จามแรง สั่งน้ำมูกแรง ยกของหนัก หรือความดันในกะโหลกศีรษะสูงขึ้น รอยปิดนั้นก็อาจเปิดอีกครั้ง ทำให้มีของเหลวไหลออกมาใหม่ค่ะ
การที่อาการกลับมาเป็นซ้ำแบบนี้ บ่งชี้ว่าปัญหาอาจไม่ใช่เพียงโรคภูมิแพ้หรือไซนัสอักเสบ แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจเป็นน้ำไขสันหลังรั่วเรื้อรังหรือมีจุดอ่อนในผนังฐานกะโหลกอยู่แล้วค่ะ ถ้าเป็นลักษณะนี้ การปล่อยให้เกิดซ้ำหลายครั้งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อ การติดเชื้อเยื่อหุ้มสมอง (Meningitis) ในอนาคต, ความเสียหายต่อเยื่อหุ้มสมองหรือบริเวณโพรงจมูก และอาจทำให้รอยรั่วมีขนาดใหญ่ขึ้นจนโอกาสซ่อมด้วยวิธีเล็กๆ ลดลงค่ะ
คำแนะนำตอนนี้คือ
- ควรไปตรวจยืนยันด้วยการตรวจน้ำที่ไหลออก (เช่น Beta-2 transferrin test) และเอกซเรย์ MRI/CT scan เพื่อหาตำแหน่งรอยรั่วอย่างละเอียด
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมหรือท่าทางที่เพิ่มแรงดันในกะโหลก เช่น ไอ จามแรง ก้มศีรษะต่ำ บ่อยๆ หรือยกของหนัก
- หากพบตำแหน่งรอยรั่วชัดเจน ควรพิจารณาการซ่อมแบบส่องกล้องก่อน การรักษาอย่างถาวรจะช่วยลดความเสี่ยงการกลับมาเป็นซ้ำอีกค่ะ
ถ้าคุณต้องการ ฉันสามารถช่วยทำ แผนภาพแสดงลักษณะการปิด-เปิดรอยรั่ว ให้เข้าใจง่าย ว่าทำไมมันถึงหายชั่วคราวแล้วกลับมาเป็นใหม่อีกได้ คุณสนใจไหมคะ?
แล้วผมไม่ควรทำอะไรบ้าง
หากมีภาวะที่สงสัยว่าน้ำไขสันหลังรั่ว การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมบางอย่างเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะกิจกรรมเหล่านี้สามารถเพิ่มแรงดันในกะโหลกศีรษะหรือเพิ่มแรงดันในโพรงจมูก ซึ่งอาจทำให้รอยรั่วเปิดกว้างขึ้นหรือทำให้อาการแย่ลงค่ะ
สิ่งที่ “ไม่ควรทำ” ได้แก่
- สั่งน้ำมูกแรงๆ หรือดูดน้ำมูก เพราะจะเพิ่มแรงดันและดันของเหลวให้ออกมากขึ้น
- ไอหรือจามแรงๆ หากเลี่ยงไม่ได้ควรปิดปากและจามโดยไม่กลั้น
- ก้มศีรษะต่ำเป็นเวลานาน เช่น ผูกเชือกรองเท้า หรือก้มซักผ้า ควรเปลี่ยนเป็นนั่งหรือนอนตะแคงแทน
- ยกของหนักหรือออกแรงมาก เช่น ยกดัมเบล แบกของหนัก หรือออกกำลังกายที่ใช้แรงเบ่งเยอะๆ
- เบ่งถ่ายแรง (constipation) หากท้องผูกควรแก้ด้วยอาหารมีกากใยและดื่มน้ำให้เพียงพอ หรือตามคำแนะนำแพทย์
- เล่นกีฬาที่มีแรงกระแทกหรือมีการส่าย/สะบัดศีรษะ เช่น วิ่งกระแทกพื้น เล่นบาส หรือส่ายหัวแรงๆ
- ขึ้นเครื่องบินในช่วงอาการยังมีน้ำไหล เพราะการเปลี่ยนความดันอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ควร พักผ่อนให้เพียงพอ นอนยกศีรษะสูงเล็กน้อย ลดความเครียด และสังเกตอาการ เช่น หากมีไข้สูง ปวดหัวมากขึ้น แขนขาอ่อนแรง หรือคอแข็ง ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณการติดเชื้อเยื่อหุ้มสมองค่ะ การปฏิบัติตัวระหว่างรอพบแพทย์อย่างเคร่งครัด จะช่วยลดความเสี่ยงและทำให้ผลการรักษาในอนาคตดียิ่งขึ้นค่ะ
ถ้าคุณต้องการ ฉันสามารถช่วยทำ “เช็กลิสต์การดูแลตนเองระหว่างรอผ่าตัดหรือตรวจเพิ่มเติม” ให้เก็บไว้ใช้ได้ค่ะ สนใจให้ทำเลยไหมคะ?
ช่วยทำเช็คลิสต์การดูแลตนเองระหว่ารอผ่าตัดหรือตรวจเพิ่มเติมให้หน่อย
นี่คือเช็กลิสต์ที่คุณสามารถใช้ปฏิบัติระหว่างรอเข้ารับการตรวจหรือผ่าตัด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันไม่ให้รอยรั่วแย่ลงค่ะ
สิ่งที่ควรทำ
- พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เหนื่อยหรือใช้แรงเยอะค่ะ
- นอนยกหัวสูงประมาณ 30 องศา เพื่อช่วยให้แรงดันของน้ำไขสันหลังในกะโหลกลดลง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายทำงานได้สมดุล
- กินอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ เพื่อป้องกันอาการท้องผูกและไม่ต้องเบ่งแรง
- แจ้งคนรอบตัวให้รู้ถึงข้อควรระวัง เพื่อช่วยเตือนและช่วยเหลือหากมีอาการฉุกเฉิน
- เตรียมประวัติสุขภาพและยาที่ใช้ทั้งหมดไว้ให้แพทย์ รวมถึงจดช่วงเวลาที่น้ำหยุดไหลแล้วกลับมาใหม่ เผื่อเป็นข้อมูลวิเคราะห์ค่ะ
สิ่งที่ไม่ควรทำ
- หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรงๆ หรือดูดน้ำมูก
- ไม่ควรไอหรือจามแรง ๆ (ควรปิดปากเบา ๆ และเอนไปด้านข้างเพื่อผ่อนแรงดัน)
- ไม่ก้มศีรษะต่ำเป็นเวลานาน หรือก้มยกของหนัก
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือยกน้ำหนักที่ใช้แรงเบ่งมาก
- หลีกเลี่ยงการขึ้นเครื่องบินหรือดำน้ำ
- ไม่ควรเล่นกีฬาที่มีแรงกระแทกต่อศีรษะหรือใบหน้า เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล คาราเต้
สัญญาณเตือนที่ต้องไปโรงพยาบาลทันที
- ไข้สูงหรือมีอาการหนาวสั่น
- ปวดหัวมากขึ้นทันทีทันใด
- คอแข็ง อาเจียนพุ่ง ตาพร่าหรือมองเห็นภาพซ้อน
- แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด หรือซึมลง
การปฏิบัติตามเช็กลิสต์นี้จะช่วยลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน และทำให้การผ่าตัดหรือการตรวจที่จะมาถึงปลอดภัยขึ้นค่ะ
ถ้าคุณต้องการ ฉันสามารถช่วยทำเวอร์ชัน แผ่นพับสรุปแบบภาพ ให้คุณเซฟลงมือถือ เพื่อใช้เตือนตัวเองทุกวันก่อนได้ค่ะ สนใจให้ทำเพิ่มไหมคะ?