หอมหรือจุ๊บ แบบมีเสียง ที่หูของลูกยังไม่ถึง6เดือน จะทำให้ลูกหูหน่วง หรือไม่ได้ยิน จริงเหรอครับ
จริง ๆ แล้ว การหอม หรือจุ๊บที่มีเสียง “จ๊วบ” ใกล้ ๆ หูทารก ไม่ได้ทำให้หูทารกเสียหรือทำให้หูหนวกทันทีค่ะ แต่ต้องคำนึงถึงเรื่องระดับเสียงและความใกล้ชิดเป็นพิเศษ เนื่องจากโครงสร้างหูของทารก โดยเฉพาะในวัยต่ำกว่า 6 เดือน ยังบอบบางและกำลังพัฒนาอยู่ เสียงที่ดังมาก ๆ หรือเสียงกระแทกใกล้ช่องหู อาจส่งผลต่อขนรับเสียง (hair cells) ในหูชั้นใน และทำให้เกิดการระคายเคืองหรือแม้กระทั่งการสูญเสียการได้ยินถาวรในกรณีที่เสียงดังเกินไปค่ะ
โดยทั่วไป เสียงที่อยู่ใกล้หูมากแม้จะไม่รู้สึกดังสำหรับผู้ใหญ่ ก็สามารถมีระดับเดซิเบลสูงสำหรับทารกได้ เช่น
- การจุ๊บแรง ๆ ใกล้ใบหูอาจมีระดับเสียงพุ่งสูงทันที (อาจเกิน 90-100 เดซิเบลในเสี้ยววินาที)
- หูทารกยังไม่สามารถทนต่อเสียงดังระยะใกล้ได้มากเหมือนผู้ใหญ่
- การสัมผัสหรือการหอมที่เน้นเสียง “ดัง” หรือ “เป่า” เข้าไปในรูหู อาจสร้างแรงดันอากาศที่กระทบแก้วหูค่ะ
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของการได้ยิน ควรเลือกหอมที่แก้ม หน้าผาก หรือศีรษะในจุดที่ห่างจากหูอย่างน้อย 5-10 เซนติเมตร และหลีกเลี่ยงการทำเสียงดังใกล้ ๆ หูทารกค่ะ หากคุณพ่อคุณแม่มีข้อกังวลว่าลูกเริ่มสะดุ้งง่าย พูดแล้วไม่หันหรือไม่ตอบสนองต่อเสียงเล็ก ๆ แนะนำให้พาไปตรวจการได้ยินกับกุมารแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโสตศอนาสิกค่ะ
ตอนนี้เวลาเรียกชื่อลูก หรือกระซิบเรียกชื่อลูก ระยะไกลๆ ลูกจะหันมาหาเสียง หรือเสียงอะไรนิดๆหน่อยก็จะสดุ้งได้ยิน แบบนี้เข้าข่ายเสี่ยงไหมครับ
จากที่คุณพ่อเล่า ว่าลูกสามารถหันมาตามเสียงเรียกจากระยะไกล หรือแม้แต่เสียงเล็กน้อยก็สะดุ้ง แสดงว่าการรับฟังของลูกน่าจะอยู่ในเกณฑ์ปกติค่ะ เพราะทารกที่มีการได้ยินสมบูรณ์จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงในหลายรูปแบบ เช่น หันหัวตามเสียง กระพริบตา สะดุ้ง หรือหยุดการเคลื่อนไหวเพื่อฟังเสียงค่ะ
สำหรับทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน การตอบสนองแบบสะดุ้งกับเสียงที่เกิดขึ้นกระทันหันแม้ไม่ดังมาก เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยและถือว่าเป็นการทำงานของระบบประสาทและประสาทหูที่ดีค่ะ สัญญาณที่ควรสบายใจคือ
- หันตามเสียงเมื่อถูกเรียกชื่อจากด้านข้างหรือด้านหลัง
- รู้สึกตื่นตัวหรือหยุดกิจกรรมเมื่อได้ยินเสียงใหม่
- ร้องหรือมีสีหน้าตกใจเมื่อมีเสียงดังฉับพลัน
อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัย ควรหลีกเลี่ยงการส่งเสียงดังหรือจุ๊บแรงใกล้ ๆ หู เนื่องจากเสียงระยะประชิดสามารถเป็นอันตรายต่อโครงสร้างในหูได้ แม้การตอบสนองของลูกตอนนี้จะดูปกติ แต่หากสังเกตเห็นว่าลูกไม่ตอบสนองต่อเสียงที่เคยได้ยิน หันหาเสียงช้าลง หรือไม่มีปฏิกิริยากับเสียงคุ้นเคย ควรปรึกษากุมารแพทย์เพื่อตรวจการได้ยินค่ะ
ถ้าคุณพ่อสนใจ ฉันสามารถทำ “ตารางสัญญาณการได้ยินปกติของทารกตามวัย” ให้เพื่อตรวจสอบเองที่บ้านได้นะคะ สนใจให้ทำให้เลยไหมคะ?
ขอสอบถามเพิ่มเติมครับ ถ้าลูกสดุ้งบ่อย ทำไมต้องพาไปพบหมอครับ สดุ้งบ่อยไม่ได้หมายความว่า การได้ยินปกติดีเหรอครับ
การที่ลูก “สดุ้งบ่อย” อาจมีได้หลายสาเหตุค่ะ และไม่ได้หมายความเสมอว่าการได้ยินปกติดีหรือผิดปกติ จำเป็นต้องประเมินตามบริบทและพฤติกรรมอื่น ๆ ประกอบด้วย ค่ะ
-
สาเหตุที่ทารกสดุ้งบ่อยซึ่งเป็นปกติ
- ระบบประสาทของทารกยังอยู่ในช่วงพัฒนา ทำให้เกิด Moro reflex (รีเฟล็กซ์สะดุ้ง) ได้ง่าย โดยเฉพาะในเดือนแรก ๆ
- ทารกบางคนไวต่อสิ่งกระตุ้น เช่น แสง เสียง หรือการสัมผัส ซึ่งถือว่าธรรมชาติของเด็กที่ตื่นตัวค่ะ
- เสียงกระทันหันแม้จะไม่ดังสำหรับผู้ใหญ่ ก็สามารถเป็นเสียงที่ดู “แรง” สำหรับทารกได้เนื่องจากโครงสร้างหูและการควบคุมการตอบสนองยังไม่สมบูรณ์ค่ะ
-
สัญญาณที่ต้องพิจารณาพบแพทย์แม้ลูกสดุ้งบ่อย
- สดุ้งบ่อยร่วมกับไม่หันไปตามเสียงเรียกจากระยะใกล้หรือไกล
- สดุ้งเฉพาะกับเสียงดังมาก แต่ไม่ตอบสนองต่อเสียงเบาเลย
- ลักษณะการสดุ้งดูมากผิดปกติ เช่น เกร็งตัวพร้อมกันทุกครั้งเหมือนชัก หรือมีอาการแข็งตัวร่วมกับหยุดหายใจชั่วคราว
- มีปัญหาการนอน กระสับกระส่าย หรือพัฒนาการล่าช้าในด้านอื่น ๆ เช่น การมองตาม การยิ้มตอบค่ะ
-
เหตุผลที่ควรตรวจโดยแพทย์ถ้าสงสัย
- การสดุ้งบ่อยอาจเป็นเพราะระบบประสาทไวเกินปกติ หรือมีความผิดปกติของระบบประสาทรับเสียง
- แพทย์สามารถแยกแยะได้ว่าการตอบสนองเป็นแบบรีเฟล็กซ์ปกติ หรือเกิดจากปัญหาด้านประสาท, การได้ยิน, หรือแม้แต่การชักในทารกค่ะ
- การตรวจการได้ยินและการประเมินพัฒนาการเร็วช่วยป้องกันผลกระทบระยะยาว เช่น การพูดและการเรียนรู้ค่ะ
สรุปคือ การสดุ้งบ่อยในทารกไม่ใช่เครื่องชี้วัดเพียงอย่างเดียวว่าการได้ยินสมบูรณ์ดี จำเป็นต้องดูพฤติกรรมการตอบสนองต่อเสียงในหลากหลายสถานการณ์ และหากมีความกังวลหรือพบสัญญาณผิดปกติ ควรนำลูกไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินนะคะ ถ้าคุณพ่อสนใจ ฉันสามารถทำ “เช็กลิสต์การสังเกตการได้ยินและพัฒนาการของทารก” ให้เพื่อตรวจสอบเองได้ค่ะ