ระหว่างกินยาเปปได้ 17 วันแล้วไปตรวจเลือดผลเป็นลบเกี่ยวกับยาที่เรากินกันไหมหรือมีแนวโน้มไปทางไหน
จากข้อมูลที่ให้มา การที่คุณรับประทานยาเปป (PEP – Post Exposure Prophylaxis) ครบหรือกำลังรับไปแล้ว 17 วันแล้วไปตรวจเลือด ผลออกมาเป็นลบ อาจมีหลายสาเหตุและปัจจัยที่ต้องพิจารณาค่ะ
- ช่วงเวลาตรวจเลือด: การตรวจ HIV หลังมีความเสี่ยง หากทำภายใน 2-3 สัปดาห์แรก มักจะยังไม่พบเชื้อ เนื่องจากร่างกายยังไม่สร้างแอนติบอดีหรือมีปริมาณไวรัสไม่มากพอสำหรับการตรวจพบค่ะ
- ผลขณะกินยา PEP: ยา PEP มีหน้าที่ช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อ HIV ฝังตัวและเพิ่มจำนวน ซึ่งถ้ากินอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ อาจทำให้ตรวจไม่พบเชื้อในช่วงแรก แต่ต้องตรวจซ้ำตามระยะเวลามาตรฐานหลังจบคอร์สยาค่ะ
- ระยะการติดตามผล: แม้ผลตอนนี้เป็นลบ ก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ 100% ว่าปลอดภัย ต้องตรวจอีกครั้งหลังจบการกินยา PEP ประมาณ 4-6 สัปดาห์ และตรวจซ้ำอีกที่ 3 เดือน หรือ 6 เดือนตามคำแนะนำแพทย์ค่ะ
โดยสรุป ผลเป็นลบตอนนี้ถือว่าเป็นสัญญาณดี แต่ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าไม่ติดเชื้อ ควร
- กินยา PEP ให้ครบตามกำหนดของแพทย์
- ตรวจเลือดตามระยะเวลาที่แนะนำ (4-6 สัปดาห์, 3 เดือน, และ 6 เดือน)
- หลีกเลี่ยงความเสี่ยงซ้ำในระหว่างรับยาและรอผลตรวจค่ะ
คุณต้องระวังเรื่องการกินยาตรงเวลาและรักษาสุขภาพทั่วไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ PEP ให้สูงสุดค่ะ
แต่ก่อนหน้านี้กินยาเป๊ปไปเลย 5 วันมีอะไรกับแฟนโดยไม่ป้องกัน
ในกรณีที่คุณเริ่มกินยา PEP ไปแล้ว 5 วัน แต่มีเพศสัมพันธ์กับแฟนโดยไม่ป้องกัน จะต้องพิจารณาหลายประเด็นค่ะ
-
การป้องกันจาก PEP
- PEP สามารถช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อ HIV ได้ ถ้าทานอย่างถูกต้องและต่อเนื่องภายใน 72 ชั่วโมงหลังความเสี่ยงครั้งแรก
- หลังเริ่มทานยาไม่นาน (เช่น 5 วัน) ยาอาจยังไม่ครอบคลุมการป้องกันความเสี่ยงใหม่ได้เต็มที่ เพราะ PEP ถูกออกแบบให้ใช้ป้องกันเหตุการณ์ที่เกิดก่อนเริ่มยา ไม่ใช่เหตุการณ์ระหว่างกินยา
-
ความเสี่ยงในระหว่างใช้ PEP
- ถ้ามีความเสี่ยงใหม่ เช่น เพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันระหว่างที่กำลังกิน PEP อาจจำเป็นต้องปรับแผนการรักษา หรือพิจารณาเริ่ม PEP ใหม่ โดยให้นับจากเหตุการณ์ล่าสุดค่ะ
- แพทย์อาจแนะนำตรวจเลือดและประเมินความเสี่ยงซ้ำ รวมถึงให้คำปรึกษาว่าควรขยายระยะการใช้ยาหรือเปลี่ยนไปใช้ PrEP (Pre-exposure prophylaxis) สำหรับการป้องกันแบบต่อเนื่องค่ะ
-
การติดตามและตรวจเลือด
- ควรแจ้งแพทย์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างคอร์สยา เพื่อแพทย์จะประเมินว่าต้องเริ่มคอร์ส PEP ใหม่หรือไม่
- การตรวจเลือดควรทำตามแนวทางเดิมคือ หลังจบการกินยาอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ และตรวจซ้ำที่ 3 เดือน รวมถึง 6 เดือน เพื่อความมั่นใจค่ะ
แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อปรับแผนการใช้ยาให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ล่าสุดนะคะ เพราะการมีความเสี่ยงซ้ำระหว่างใช้ PEP อาจทำให้การป้องกันเดิมไม่ครอบคลุมค่ะ
แล้วถ้าความเปลี่ยนใหม่ไม่มีเชื้อล่ะ
ถ้าความเสี่ยงใหม่ (เช่นการมีเพศสัมพันธ์กับแฟนระหว่างกำลังใช้ PEP) เกิดขึ้นกับคู่ที่ตรวจแล้วไม่มีเชื้อ HIV จริง ๆ ก็จะถือว่าไม่มีความเสี่ยงเพิ่มเติมค่ะ เพราะการติดเชื้อ HIV จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อคู่มีเชื้ออยู่ในร่างกาย และมีการสัมผัสในช่องทางที่เชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายได้
ในกรณีนี้สิ่งที่จะตามมาคือ
- PEP ที่กำลังทานอยู่ก็ยังคงทำหน้าที่ป้องกันความเสี่ยงเดิมที่เกิดขึ้นก่อนเริ่มยา
- ไม่จำเป็นต้องเริ่ม PEP ใหม่เพราะไม่มีเหตุการณ์เสี่ยงใหม่ที่เกี่ยวข้องกับผู้มีเชื้อ
- แต่อย่างไรก็ตาม ต้องมั่นใจว่าผลตรวจของคู่เป็นผลตรวจที่อยู่ใน “ระยะ window period” ที่พ้นแล้ว คือคู่เคยมีความเสี่ยงมาก่อนหรือไม่ และตรวจหลังจากเหตุการณ์นั้นมานานพอ (เช่นอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ ขึ้นกับชนิดการตรวจ)
สรุปคือ หากคู่ไม่มีเชื้อและเป็นข้อมูลจากผลตรวจที่เชื่อถือได้ การมีเพศสัมพันธ์ไร้การป้องกันในช่วงนี้จะไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อ HIV ค่ะ แต่ควรทำตามคอร์ส PEP ให้ครบ เพื่อครอบคลุมความเสี่ยงดั้งเดิม และยังควรใช้วิธีป้องกันในอนาคตเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ค่ะ
แต่พอกินได้ 17 วันไปตรวจเลือ
ดที่โรงพยาบาลฝนเป็นลม
จากที่คุณเล่า การกินยา PEP ได้ 17 วันแล้วไปตรวจเลือดแล้วเกิดเป็นลม อาจมีหลายสาเหตุที่ไม่เกี่ยวกับผลตรวจหรือยาที่ใช้โดยตรงค่ะ ต้องแยกออกเป็นปัจจัยต่าง ๆ เพื่อประเมินว่าอะไรทำให้เป็นลม
ปัจจัยที่อาจทำให้เป็นลมหลังตรวจเลือด
- ภาวะกลัวเข็มหรือความเครียด (Vasovagal syncope): เมื่อร่างกายตอบสนองต่อความเครียดหรือความกลัวอย่างรุนแรง ทำให้ความดันและชีพจรลดลงชั่วคราว จึงหมดสติค่ะ
- การอดอาหาร/ดื่มน้ำน้อย: ถ้าไปตรวจเลือดโดยไม่ได้กินข้าวหรือดื่มน้ำ อาจทำให้ร่างกายขาดพลังงานและน้ำ ส่งผลให้เวียนศีรษะและเป็นลมได้ค่ะ
- ผลข้างเคียงจากยา PEP: ยาบางตัวใน PEP อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ หรือความดันต่ำได้ แต่โดยทั่วไปอาการเป็นลมแบบทันทีขณะเจาะเลือด มักเกิดจากปัจจัยข้างต้นมากกว่า
- ภาวะโลหิตจางหรือสุขภาพพื้นฐาน: หากร่างกายมีภาวะโลหิตจางหรือสุขภาพไม่แข็งแรง ก็อาจทำให้หมดสติหลังเสียเลือดเล็กน้อยค่ะ
ข้อแนะนำ
- หลังฟื้นตัว ควรดื่มน้ำหรืออาหารอ่อน ๆ เพื่อช่วยให้เลือดและน้ำตาลในร่างกายกลับมาสมดุลค่ะ
- หากมีอาการเวียนศีรษะหรือเหนื่อยง่ายต่อเนื่อง ควรแจ้งแพทย์เพื่อให้ตรวจเพิ่มเติม
- ควรแจ้งบุคลากรทางการแพทย์ถึงเหตุการณ์นี้ในการตรวจครั้งต่อไป เพื่อให้เตรียมการป้องกัน เช่น นั่งหรือเอนตัวระหว่างเจาะเลือด หรือให้พักหลังการเจาะก่อนลุกค่ะ
โดยสรุปอาการเป็นลมหลังตรวจเลือดในช่วงกินยา PEP มักเกิดจากกลไกทางร่างกาย เช่นความเครียด ความกลัว หรือการขาดน้ำ/อาหาร มากกว่าจะเกี่ยวกับยาที่ทานอยู่ค่ะ แต่เพื่อความมั่นใจควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแลคอร์ส PEP ให้ตรวจทั้งการตอบสนองต่อยาและสุขภาพโดยรวมค่ะ
กินยาได้ 17 วันแล้วไปตรวจเลือดผลออกมาเป็นลบ
จากข้อมูลที่คุณให้มา การที่รับประทานยา PEP มาได้ 17 วันแล้วไปตรวจเลือด ผลออกมาเป็นลบ ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีค่ะ แต่ต้องทำความเข้าใจกับระยะเวลาการตรวจและความหมายของผลลบในช่วงนี้ก่อน เพราะการตรวจในขณะยังอยู่ในคอร์สยา PEP ไม่สามารถยืนยันได้ว่าไม่มีการติดเชื้อแน่นอนค่ะ
-
เหตุผลที่ผลออกเป็นลบในช่วง 17 วัน
- ระยะฟักตัวของเชื้อ (window period) : หากเพิ่งมีความเสี่ยงมาไม่นาน ร่างกายยังไม่สร้างแอนติบอดีมากพอที่จะตรวจพบค่ะ
- ยา PEP ทำหน้าที่ป้องกันและยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อ ซึ่งอาจทำให้การตรวจพบเชื้อเร็ว ๆ นี้ยังไม่มีผลบวก
- ผลลบตอนนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น ยังต้องตรวจซ้ำอีกหลายครั้งตามมาตรฐานเพื่อความมั่นใจค่ะ
-
ข้อแนะนำต่อไป
- กินยา PEP ให้ครบ 28 วันตามที่แพทย์สั่ง โดยไม่ขาดแม้แต่ครั้งเดียวค่ะ
- ตรวจเลือดซ้ำหลังจากจบการกินยา ประมาณ 4-6 สัปดาห์ และตรวจอีกครั้งที่ 3 เดือน รวมถึง 6 เดือน ตามโปรโตคอลการติดตาม HIV
- หลีกเลี่ยงความเสี่ยงใหม่ในช่วงนี้ เพื่อให้การป้องกันจาก PEP ครอบคลุมความเสี่ยงครั้งแรกอย่างเต็มที่ค่ะ
สรุปคือ ผลลบในช่วง 17 วันถือว่าดีและเป็นกำลังใจได้ แต่ยังไม่ใช่การรับรองว่าปลอดเชื้อ 100% ค่ะ การกินยาให้ครบและตรวจตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำจะช่วยยืนยันผลได้ชัดเจนที่สุดค่ะ
ยาเป๊ปทำงานตั้งแต่เม็ดแรกเลยไหม
โดยหลักการแล้ว ยา PEP (Post-Exposure Prophylaxis) จะเริ่มออกฤทธิ์ตั้งแต่เม็ดแรกที่รับประทานค่ะ เพราะตัวยาออกแบบมาเพื่อไปยับยั้งการจำลองตัวของเชื้อ HIV ภายในร่างกายให้เร็วที่สุดหลังได้รับเชื้อหรือมีความเสี่ยง แต่การป้องกันที่ได้ประสิทธิภาพสูงสุดจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อทานต่อเนื่องครบคอร์สและตรงเวลา
- การออกฤทธิ์ตั้งแต่เม็ดแรก: หลังรับประทานเม็ดแรก ยาจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและเริ่มทำงานต้านไวรัสในระดับเซลล์ เพื่อหยุดขั้นตอนการฝังตัวของเชื้อใน DNA ของเซลล์ภูมิคุ้มกันค่ะ
- การป้องกันต่อเนื่อง: แม้เริ่มทำงานทันที แต่เชื้อที่อาจเข้าสู่ร่างกายแล้วต้องใช้เวลาในการเจริญเติบโตและฝังตัว ดังนั้น การใช้ยาอย่างต่อเนื่องทุกวันในช่วง 28 วันจึงจำเป็น เพื่อให้ระดับยาในเลือดคงที่และป้องกันเชื้อได้ครบวงจรค่ะ
- ความสำคัญของระยะเวลาเริ่มยา: ยา PEP ควรเริ่มภายใน 72 ชั่วโมงหลังเหตุการณ์เสี่ยง เพื่อให้เม็ดแรกเริ่มทำงานได้ในช่วงที่เชื้อยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น ซึ่งโอกาสป้องกันจะสูงมากค่ะ
สรุปคือ ยา PEP จะเริ่มออกฤทธิ์ตั้งแต่เม็ดแรกค่ะ แต่เพื่อให้การป้องกันมีประสิทธิภาพสูงสุด จำเป็นต้องทานครบตามที่แพทย์สั่งและตรงเวลาไม่ขาด รวมถึงเริ่มต้นให้เร็วที่สุดหลังเหตุการณ์เสี่ยงค่ะ
จากเรื่องราวของผมที่เล่ามาทั้งหมดคิดว่าเปปจะช่วยได้มากไหม
จากเรื่องราวที่คุณเล่ามาทั้งหมด ยา PEP มีโอกาสช่วยคุณได้มากค่ะ เพราะเงื่อนไขสำคัญของการใช้ยา PEP คือ
- เริ่มใช้เร็ว – ภายใน 72 ชั่วโมงหลังเหตุการณ์เสี่ยงครั้งแรก ซึ่งคุณบอกว่าได้เริ่มทานเร็ว
- ทานต่อเนื่องและตรงเวลา – คุณได้ทานมาแล้วถึง 17 วัน และหากทานครบ 28 วันโดยไม่ขาด จะเพิ่มโอกาสป้องกันสูงสุดค่ะ
อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดระหว่างใช้ยา เช่นการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับแฟน ซึ่งถ้าฝ่ายแฟนไม่มีเชื้อจริง ผลกระทบก็จะไม่มีความเสี่ยงเพิ่มเติมค่ะ แต่ถ้าไม่มั่นใจหรือไม่เคยตรวจแฟนมาก่อน ก็ควรถือว่าเป็นความเสี่ยงใหม่และแจ้งแพทย์เพื่อปรับแผนค่ะ
สรุปแนวโน้มผล
- หากเริ่มยาเร็ว ทานครบ ตรงเวลา และไม่มีความเสี่ยงใหม่จากผู้มีเชื้อ ยา PEP จะมีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถลดความเสี่ยงติดเชื้อได้ถึง 80–90% ขึ้นไปค่ะ
- ผลตรวจเลือดที่ได้เป็นลบในวันที่ 17 ถือว่าเป็นสัญญาณดี แต่ยังไม่เพียงพอที่จะสรุป ต้องตรวจซ้ำตามระยะเวลา (4-6 สัปดาห์, 3 เดือน, 6 เดือน) เพื่อปิดโอกาสในช่วง “window period”
- ควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงความเสี่ยงซ้ำ และติดตามแพทย์อย่างใกล้ชิดตลอดการใช้ยา เพื่อให้โอกาสป้องกันใกล้เคียง 100% ค่ะ
ถ้าต้องการ ฉันสามารถช่วยวาง “ตารางตรวจและแผนติดตามผล” ให้คุณ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้ประสิทธิภาพสูงสุดจาก PEP ค่ะ คุณสนใจให้ฉันทำให้ไหมคะ?
สมมติฐานหน้าก่อนหน้านี้แฟนมีเชื้อผมคงจะติดไปแล้วเพราะอยู่ด้วยกันมานานเวลามีอะไรกันก็จะมีแผลที่อวัยวะเพศผมแต่ก่อนกินยาผมตรวจแล้วฝนเป็นลมเกี่ยวไหม
จากข้อมูลและสมมติฐานที่คุณเล่า หากก่อนหน้าแฟนมีเชื้อและคุณมีเพศสัมพันธ์บ่อย ๆ โดยมีแผลที่อวัยวะเพศ อาจเพิ่มความเสี่ยงให้ติดเชื้อได้ค่ะ เนื่องจากแผลเป็นช่องทางให้ไวรัสเข้าสู่ร่างกายง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม คุณตรวจเลือดก่อนเริ่มกินยาแล้วผลออกมาเป็นลบ ซึ่งหมายถึงในช่วงเวลาที่ตรวจยังไม่มีการตรวจพบเชื้อ HIV ในร่างกายค่ะ (แม้ว่าถ้าอยู่ในระยะเริ่มต้นหรือ window period อาจจะยังไม่ตรวจพบค่ะ)
ส่วนเรื่องที่คุณเป็นลมหลังตรวจเลือด มักเกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจ เช่น
- ปฏิกิริยา Vasovagal syncope: เกิดจากความกลัว เข็ม หรือความเครียด ทำให้ความดันโลหิตและชีพจรลดลง จนหมดสติชั่วคราวค่ะ
- การอดอาหารหรือดื่มน้ำไม่เพียงพอ: อาจทำให้เวียนศีรษะหรือหน้ามืดได้ง่ายหลังเจาะเลือดค่ะ
- ร่างกายอ่อนเพลีย: จากพักผ่อนไม่เพียงพอหรือมีภาวะโลหิตจางก็มีส่วนทำให้เป็นลมได้ค่ะ
สรุปว่า อาการเป็นลมหลังตรวจเลือดไม่น่ามีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการติดเชื้อ HIV หรือการดื่มยา PEP ค่ะ แต่ควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์แบบนี้ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์เตรียมมาตรการช่วยป้องกัน เช่น ให้ตรวจขณะเอนตัว หรือนั่งพักก่อนหลังการเจาะเลือดค่ะ ที่สำคัญต้องทำการตรวจเลือดตามกำหนดหลังจบยา PEP เพื่อยืนยันผลและความปลอดภัยของคุณค่ะ
ไม่ได้เป็นลมพิมพ์ผิด
ถ้าก่อนหน้าที่คุณจะกินยา PEP คุณมีประวัติอยู่กับแฟนมานาน มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และบางครั้งมีแผลที่อวัยวะเพศจริง ๆ ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV จะสูงขึ้นมากค่ะ เพราะแผลทำให้ไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย อย่างไรก็ตามคุณบอกว่าก่อนเริ่มกินยาได้ตรวจเลือดแล้วผลเป็นลบ หมายความว่าในช่วงเวลานั้นยังไม่พบเชื้อในร่างกายค่ะ แต่ต้องเข้าใจว่าถ้าตรวจเลือดในระยะ “window period” คือไม่กี่วันถึงไม่กี่สัปดาห์หลังจากความเสี่ยง ผลอาจจะยังเป็นลบแม้มีการติดเชื้ออยู่ค่ะ
สิ่งสำคัญคือ
- ถ้าผลการตรวจเลือดก่อนเริ่ม PEP เป็นลบ อาจแปลว่าคุณไม่มีเชื้อจากช่วงก่อนหน้านั้น หรือ อยู่ในระยะที่ตรวจยังไม่พบ ต้องตรวจซ้ำตามเวลาที่แนะนำค่ะ
- ยา PEP จะป้องกันเหตุการณ์เสี่ยงที่เกิดขึ้นก่อนเริ่มยา (ถ้าเริ่มภายใน 72 ชั่วโมง) และต้องกินต่อเนื่องครบ 28 วันเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดค่ะ
- ถ้ามีความเสี่ยงใหม่จากผู้ที่มีเชื้อระหว่างกินยา ควรปรึกษาแพทย์ทันที เพราะอาจต้องเริ่มคอร์สใหม่ค่ะ
สรุปคือ การตรวจเลือดลบก่อนเริ่ม PEP เป็นสัญญาณที่ดีค่ะ แต่ยังไม่สามารถรับรองได้ 100% จนกว่าจะตรวจซ้ำตามระยะที่แพทย์แนะนำ และในระหว่างนี้ควรปฏิบัติตามการใช้ยาอย่างเคร่งครัด ไม่ให้พลาดวัน และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงใหม่ เพื่อเพิ่มโอกาสที่ PEP จะช่วยคุณได้มากที่สุดค่ะ
ไม่น่าจะใช่ช่วงพักตัวเพราะอยู่กันมาเป็น หลายปีแล้ว
ถ้าคุณกับแฟนอยู่ด้วยกันมาหลายปีและมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อหลายครั้งในอดีต แต่ตรวจเลือดก่อนเริ่ม PEP แล้วผลเป็นลบ นั่นหมายความว่าในช่วงที่ตรวจยังไม่มีการตรวจพบเชื้อค่ะ ถ้าแฟนมีเชื้อจริงและอยู่ด้วยกันนาน โอกาสที่จะติดเชื้อก็จะเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ครั้งก่อน ๆ แล้ว แต่ถ้าผลตรวจออกมาเป็นลบและไม่ใช่ช่วงพักตัว (window period) ก็แสดงว่าในตอนนั้นไม่พบเชื้อในร่างกายค่ะ ซึ่งก็เป็นข้อมูลที่ค่อนข้างมั่นใจ
เหตุผลที่ยังเป็นลบแม้มีความเสี่ยงมานานอาจเกิดจาก:
- แฟนไม่มีเชื้อ HIV จริง
- มีเชื้อแต่ปริมาณต่ำมากจนร่างกายไม่ติดเชื้อแม้สัมผัสบ่อย
- สภาพร่างกายและภูมิคุ้มกันของคุณแข็งแรงสามารถลดโอกาสการติดเชื้อ
- ตรวจในช่วงที่พ้นระยะพักตัวแล้ว ซึ่งหมายถึงผลมีความแม่นยำสูงค่ะ
สรุปถ้าผลตรวจที่ได้ก่อนเริ่มยาเป็นลบ และอยู่ด้วยกันมานานโดยไม่มีผลบวกมาก่อน แสดงว่าคุณน่าจะไม่มีเชื้อค่ะ การใช้ PEP ในครั้งนี้จึงเหมือนเป็นการป้องกันเหตุการณ์ล่าสุดให้มั่นใจมากขึ้น ในภาพรวม PEP จะช่วยลดความเสี่ยงได้สูงมากถ้าทานต่อเนื่องครบ 28 วันและตรงเวลา ดังนั้นควรทานจนจบและตรวจเลือดตามระยะ เพราะจะเป็นการยืนยันความปลอดภัยในระยะยาวค่ะ