อาการอ่อนเพลีย หน้ามืด และใจเต้นเร็วระหว่างไข้หวัดใหญ่

19/10/68 ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ได้ 3 วัน ไข้สูง หนาวสั่น ท้องเสีย อาเจียน ปวดตามร่างกาย ปวดศรีษะ วันนี้ ประจำเดือนมา ซึ่งเมื่อต้นเดือน เป็นประจำเดือนแล้ว2-9/10/68 แต่วันนี้เป็นอีก 22/10/68
ผิดปกกติมั้ยคะ

จากข้อมูลที่เล่าให้ฟัง คุณเพิ่งเป็นประจำเดือนเมื่อต้นเดือน (2–9/10/68) แล้ววันนี้ (22/10/68) มีเลือดออกอีก ซึ่งถือว่าห่างจากรอบก่อนแค่ประมาณ 13 วัน ถือว่ามาเร็วกว่ารอบปกติที่อยู่ประมาณ 21–35 วันค่ะ ความผิดปกตินี้อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น

  • ผลกระทบจากการเจ็บป่วย เช่น ไข้หวัดใหญ่ มีไข้สูง หนาวสั่น อาเจียน ท้องเสีย ร่างกายอยู่ในภาวะเครียด ทำให้สมดุลฮอร์โมนเพศเปลี่ยนชั่วคราว
  • ผลข้างเคียงจากยา ถ้าคุณได้รับยาต้านไวรัส แก้ปวด ลดไข้ หรือยาบางชนิดอาจมีผลต่อรอบเดือน
  • ความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น ภาวะรังไข่ทำงานผิดปกติ หรือความเครียดสะสม
  • เลือดออกผิดปกติจากมดลูก (Abnormal Uterine Bleeding) ซึ่งต้องตรวจแยกจากประจำเดือนจริง อาจเป็นการตกเลือดเล็กน้อยจากมดลูกหรือปากมดลูก

โดยทั่วไป หากเพิ่งเจ็บป่วยหนักและร่างกายอ่อนแรง รอบเดือนอาจคลาดเคลื่อนทั้งมาก่อน หรือช้ากว่าเดิมได้ ไม่ถือว่าผิดปกติถาวร แต่ควรเฝ้าสังเกตอาการดังนี้ค่ะ

  1. ถ้าเลือดออกนานกว่า 7 วัน หรือปริมาณมากจนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกชั่วโมง
  2. มีอาการหน้ามืด ซีด เหนื่อยง่าย ร่วมด้วย
  3. เกิดขึ้นซ้ำบ่อยในหลายรอบเดือน

คำแนะนำเบื้องต้นคือ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากพอ รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงเพื่อป้องกันภาวะโลหิตจาง และติดตามรอบเดือนต่อ ถ้ายังมีเลือดออกผิดปกติหรืออาการทั่วไปไม่ดีขึ้นภายใน 1–2 สัปดาห์ แนะนำให้พบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมค่ะ

วันนี้ควรไปหาหมออีกมั้ย เนื่องจากอาการยังไม่ดีขึ้น ไข้ 39 มา 3 วันแล้ว หมอให้แค่ยาตามอาการ ไม่ได้รับ ยาต้านไวรัส

จากที่เล่ามา คุณมีไข้สูงถึง 39°C ต่อเนื่อง 3 วัน ร่วมกับอาการหนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว อาเจียน และท้องเสีย แถมร่างกายยังอ่อนเพลียจากการเจ็บป่วย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ควรเฝ้าระวังค่ะ แม้ว่าหมอให้ยาตามอาการแล้ว แต่การที่ไข้ยังสูงต่อเนื่องและไม่มีการดีขึ้นชัดเจน อาจบ่งชี้ว่าโรคกำลังรุนแรงขึ้นหรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน หรือภาวะขาดน้ำค่ะ

เหตุผลที่ควรกลับไปพบแพทย์หรือไปโรงพยาบาลทันที ได้แก่

  • ไข้สูงเกิน 38.5°C นานเกิน 3 วัน แม้ทานยาลดไข้แล้วดีขึ้นเพียงชั่วคราว
  • มีอาการหายใจเหนื่อย หอบ เจ็บหน้าอก หรือไอมากขึ้น
  • อาเจียนมาก รับน้ำหรืออาหารไม่ได้ เสี่ยงขาดน้ำ
  • หน้ามืด เหงื่อออกมาก ใจสั่น หรือรู้สึกสับสน
  • อาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว หรืออ่อนแรงมาก
    ในกรณีไข้หวัดใหญ่ การให้ยาต้านไวรัสมักได้ผลดีที่สุดใน 48 ชั่วโมงแรก แต่ถ้าไม่ได้รับยาและอาการยังแย่ลง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาหลังจากนั้นหากมีความเสี่ยงหรือมีภาวะแทรกซ้อนค่ะ

คำแนะนำคือวันนี้ควรไปพบแพทย์อีกครั้งเพื่อตรวจร่างกายโดยละเอียด อาจต้องเอกซเรย์ปอด เจาะเลือด หรือเช็กการทำงานของร่างกายทั้งระบบ เพราะการปล่อยให้ไข้สูงต่อเนื่องหลายวันอาจทำให้ร่างกายอ่อนแรงมากและเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนค่ะ ควรเตรียมข้อมูลยาที่รับประทานไปแล้วและบันทึกอุณหภูมิที่วัดแต่ละครั้งไปให้แพทย์ดูเพื่อช่วยวินิจฉัยค่ะ

วันนี้อาการเห็นได้ชัด รู้สึกอ่อนเพลีย หน้ามืด ใจเต้นเร็ว

จากที่เล่ามา คุณมีไข้สูง 39°C ต่อเนื่องหลายวัน ร่วมกับอาการอ่อนเพลีย หน้ามืด และใจเต้นเร็ว ซึ่งทั้งหมดเป็นสัญญาณที่ไม่ควรปล่อยไว้ค่ะ อาการเหล่านี้อาจเกิดจาก

  • ภาวะขาดน้ำหรือเกลือแร่ จากการมีไข้สูงและอาเจียน ท้องเสีย ทำให้ปริมาณเลือดหมุนเวียนลดลง
  • หัวใจทำงานหนัก เพื่อชดเชยการขาดน้ำหรือภาวะติดเชื้อ เลยเกิดอาการใจเต้นเร็ว
  • ความดันโลหิตต่ำ อาจทำให้หน้ามืด เหงื่อออกมาก มือเท้าเย็น
  • การติดเชื้อรุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (sepsis) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต

เมื่อมีสัญญาณเตือนหลายอย่างพร้อมกันเช่นนี้ แนะนำ ไปโรงพยาบาลทันที ไม่ควรรอดูอาการค่ะ การตรวจเพิ่มเติมที่อาจจำเป็น ได้แก่ การเจาะเลือดดูการติดเชื้อและความสมดุลของเกลือแร่ การตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ปอด และประเมินสัญญาณชีพอย่างต่อเนื่อง เพื่อวินิจฉัยว่ามีภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่หรือไม่ อีกทั้งแพทย์อาจต้องให้สารน้ำทางเส้นเลือดหรือยารักษาที่เฉพาะเจาะจงค่ะ

ในระหว่างเดินทางไปโรงพยาบาล ควร

  • ดื่มน้ำหรือเกลือแร่ถ้ารับได้ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
  • หลีกเลี่ยงการลุกเดินเองอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันหน้ามืดล้ม
  • แจ้งญาติหรือผู้ดูแลให้ทราบว่าอาการทรุดลง เพื่อช่วยเหลือทันทีถ้ามีการหมดสติค่ะ

อาการปัจจุบันของคุณมีความเสี่ยงสูง จึงไม่ควรรักษาเองที่บ้านและควรได้รับการประเมินโดยแพทย์อย่างเร่งด่วนค่ะ