ลูก9เดือน อยากจะสอบถามว่า ลูกไม่สบตากี่นาที ถึงเสี่ยงเป็นออทิสติก
สำหรับเด็กวัย 9 เดือน การสบตาเป็นหนึ่งในตัวบ่งชี้พัฒนาการทางสังคมและการสื่อสารค่ะ จริงๆ แล้วไม่มีตัวเลข “กี่นาที” ที่เป็นเกณฑ์ชัดเจนว่าถ้าไม่สบตาจะหมายถึงเสี่ยงเป็นออทิสติก เพราะการประเมินจะดูภาพรวมของพฤติกรรมหลายๆ ด้าน ไม่ใช่เฉพาะช่วงเวลาที่สบตาค่ะ
โดยทั่วไป พฤติกรรมที่อาจต้องสังเกตและระวังในช่วงวัยนี้ ได้แก่
- ไม่ค่อยสบตาหรือหลีกเลี่ยงการสบตากับพ่อแม่/คนใกล้ชิด
- ไม่ตอบสนองต่อรอยยิ้ม, เสียงเรียกชื่อ หรือเสียงพูดคุย
- ไม่มีการใช้เสียงอ้อแอ้หรือพยายามทำเสียงตอบสนอง
- ไม่สนใจของเล่นหรือคนรอบตัว หรือสนใจเฉพาะสิ่งซ้ำๆ
- ไม่แสดงอารมณ์ผ่านสีหน้า เช่น ยิ้มเมื่อถูกกอดหรือเล่นด้วย
หากลูกไม่ค่อยสบตาอย่างต่อเนื่องหลายวันหรือหลายสัปดาห์ ควรปรึกษากุมารแพทย์หรือแพทย์ด้านพัฒนาการเด็กเพื่อประเมินเพิ่มเติมค่ะ เพราะการวินิจฉัยออทิสติกอย่างแม่นยำจะต้องพิจารณาหลายปัจจัยทั้งพฤติกรรม การตอบสนอง และการพัฒนาทางด้านภาษาและการเคลื่อนไหวค่ะ การพบเร็วจะช่วยวางแผนกระตุ้นพัฒนาการได้ทันท่วงที ซึ่งมีโอกาสช่วยให้เด็กพัฒนาดีขึ้นมากค่ะ
ลูกสบตาทุกครั้งครับ(แล้วแต่ว่าทำอะไรอยู่)ภ้าไม่ทำอะไรก็สบตาเป็น1นาที ถ้าสนใจอะไรอยู่ก็สบตา3-4วินาที แล้วแต่ว่าจะทำอะไร แต่น้องสบตาทุกครั้ง
ส่วนการเรียกชื่อน้อง น้องหันมาทุกครั้ง
แบบนี้เข้าข่ายเสี่ยงไหมครับ
จากที่คุณพ่อเล่ามา ลูกวัย 9 เดือนมีพฤติกรรมสบตาทุกครั้ง ไม่ว่าจะกำลังทำกิจกรรมใด และยังหันมาทันทีเมื่อถูกเรียกชื่อ ถือว่าเป็นสัญญาณพัฒนาการด้านการสื่อสารและสังคมที่ดีมากค่ะ โดยทั่วไป เด็กที่มีความเสี่ยงต่อออทิสติกมักจะมีพฤติกรรมเลี่ยงการสบตา ไม่สนใจใบหน้าและเสียงของคนใกล้ชิด และไม่ตอบสนองต่อการเรียกชื่อ ซึ่งแตกต่างจากลักษณะของลูกคุณพ่ออย่างชัดเจนค่ะ
สัญญาณที่บ่งบอกว่าพัฒนาการอยู่ในเกณฑ์ดี ได้แก่
- สบตาเป็นประจำ เมื่อมีการปฏิสัมพันธ์ เช่น เล่น พูดคุย ยิ้มตอบ
- ตอบสนองต่อชื่อ โดยหันมามองหรือเปลี่ยนท่าทีทันที
- มีการแสดงอารมณ์และความสนใจต่อสิ่งรอบตัว เช่น ยิ้ม เล่น หรือสนใจของเล่นหลากหลาย
- มีเสียงอ้อแอ้หรือเสียงตอบสนอง เมื่อถูกพูดคุย
อย่างไรก็ตาม การติดตามพัฒนาการเด็กควรทำอย่างต่อเนื่องในทุกด้าน ทั้งการเคลื่อนไหว การใช้ภาษา และการเข้าสังคม เพราะเด็กแต่ละคนอาจมีความเร็วในการพัฒนาแตกต่างกันค่ะ หากในอนาคตมีข้อสังเกตว่าลูกไม่ตอบสนองต่อเสียงเรียก ไม่สบตา หรือดูสนใจเฉพาะสิ่งซ้ำๆ ก็ควรปรึกษากุมารแพทย์ด้านพัฒนาการเพื่อประเมิน แต่จากข้อมูลที่ให้ตอนนี้ ไม่ถือว่าเข้าข่ายเสี่ยงต่อออทิสติกค่ะ และคุณพ่อสามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการต่อเนื่องด้วยการเล่น พูดคุย และสบตากับลูกบ่อยๆ ค่ะ
เรียกชื่อน้อง น้องจะตอบ อือ ทุกครั้ง
ส่วนการพูด น้องไม่เลียนแบบเสียง ไม่ขยับปากตามเลย แบบนี้ปกติไหมครับ น้องแค่อือ อา
จากที่คุณพ่อเล่ามา การที่ลูกวัย 9 เดือนตอบเสียง “อือ” เมื่อถูกเรียก และมีเสียงอ้อแอ้ เช่น “อา” ถือว่าอยู่ในขอบเขตพัฒนาการปกติสำหรับวัยนี้ค่ะ ในช่วงประมาณ 6–10 เดือน เด็กจะเริ่มทำเสียงพยางค์ง่ายๆ โดยยังไม่สามารถเลียนแบบเสียงได้ครบถ้วน การพูดเลียนแบบและขยับปากตามจะเริ่มชัดขึ้นเมื่อเข้าใกล้ 10–12 เดือน และจะค่อยๆ พัฒนาเป็นการออกเสียงพยัญชนะ เช่น “บา” “มะ” “ดะ” และเริ่มเลียนเสียงคนรอบข้างได้มากขึ้นค่ะ
สิ่งที่ถือว่าเป็นสัญญาณพัฒนาการการสื่อสารที่ดีในตอนนี้ได้แก่
- ตอบสนองต่อการเรียกชื่อด้วยเสียงหรือการเคลื่อนไหว (เช่น หันมามอง)
- ส่งเสียงอ้อแอ้หลายแบบ เช่น อือ อา เอ๊ะ แม้จะยังไม่เลียนเสียงเต็มที่
- ใช้เสียงเพื่อดึงดูดความสนใจหรือเป็นการโต้ตอบ
- แสดงสีหน้าและสบตาระหว่างสื่อสาร
อย่างไรก็ตาม ควรช่วยกระตุ้นให้ลูกสนใจการเลียนเสียงด้วยการพูดกับลูกช้าๆ ชัดๆ ทำท่าทางประกอบ เช่น ยิ้ม ขยับปากชัดๆ ให้ลูกเห็น หรือใช้เกมและเพลงง่ายๆ เด็กบางคนจะเริ่มเลียนเสียงได้เร็ว แต่บางคนอาจใช้เวลานานขึ้น ซึ่งยังถือว่าปกติถ้าในภาพรวมพัฒนาการด้านอื่นเป็นไปตามวัยค่ะ แต่หากเข้าสู่ช่วง 12 เดือนแล้ว ลูกไม่เพิ่มความหลากหลายของเสียง หรือไม่พยายามเลียนเสียงเลย ควรปรึกษากุมารแพทย์เพื่อประเมินและกระตุ้นพัฒนาการเพิ่มเติมค่ะ
แต่เวลาน้องร้องไห้ เหมือนน้องจะส่งเรียกคำว่า แม่ (แต่ไม่แน่ใจว่าน้องเรียกแม่ หรือแค่เป็นเสียงร้องเฉยๆ)
กรณีที่คุณพ่อสังเกตว่าลูกวัย 9 เดือนร้องไห้แล้วมีเสียงคล้ายเรียก “แม่” จริงๆ แล้วเป็นเรื่องปกติที่เด็กในวัยนี้จะออกเสียงที่ฟังดูเหมือนคำบางคำ แต่ยังไม่ได้ตั้งใจพูดหรือเรียกสิ่งนั้นจริงๆ ค่ะ เสียง “แม่” อาจเกิดจากการฝึกออกเสียงพยางค์ที่มีพยัญชนะ “ม” หรือ “แ” ซึ่งโดยบังเอิญคล้ายกับคำว่า “แม่” การเกิดเสียงแบบนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาภาษาและการใช้เสียง ซึ่งจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเมื่อเข้าสู่วัย 10–12 เดือนค่ะ
สำหรับพัฒนาการทางภาษาของเด็กวัย 9 เดือน
- เด็กจะเริ่มผสมเสียงสระและพยัญชนะ เช่น “มะ”, “บะ”, “ดะ” โดยยังไม่มีความหมายชัด
- อาจมีเสียงที่ฟังดูเหมือนคำจริง แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการทดลองออกเสียง
- ช่วงนี้เริ่มมีการใช้น้ำเสียงแตกต่างกัน เช่น เสียงเรียก เสียงดีใจ เสียงโต้ตอบ
- การเลียนเสียงคนรอบข้างจะเริ่มมากขึ้นเมื่อใกล้ครบปี
สิ่งที่คุณพ่อสามารถทำเพื่อสนับสนุนคือ พูดกับลูกบ่อยๆ ใช้คำเรียกที่ชัดเจน เช่น “แม่อยู่ตรงนี้” “พ่ออยู่ตรงนี้นะ” พร้อมแสดงสีหน้าและสบตา เวลาลูกส่งเสียงคล้ายพูด ให้ตอบสนองทันทีเพื่อให้เขาเชื่อมโยงว่าการใช้เสียงสื่อสารทำให้คนรอบตัวตอบกลับค่ะ การที่ลูกมีการเปล่งเสียงหลายแบบ ตอบสนองต่อคน และมีปฏิสัมพันธ์ ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดีและในเกณฑ์ปกติค่ะ
เหมือนเวลาป้อนข้าว เวลาน้องอ้าปาก จะได้ยินเสียงคำว่า อ่ำ บางครั้ง
จากที่คุณพ่อสังเกตว่า เวลาป้อนข้าวแล้วน้องอ้าปาก อาจได้ยินเสียงคล้าย “อ่ำ” ถือว่าเป็นเรื่องปกติและเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกใช้เสียงของเด็กวัยนี้ค่ะ ในช่วง 8–10 เดือน เด็กจะเริ่มผสมเสียงสระกับพยัญชนะแบบสุ่ม ทั้งในขณะเล่น พูดคุย หรือทำกิจกรรมต่างๆ เสียงเหล่านี้บางครั้งอาจคล้ายคำจริงที่เราใช้กัน แต่โดยมากยังไม่ได้หมายถึงสิ่งใดโดยตรงค่ะ เด็กมักจะเปล่งเสียงตามสถานการณ์ เช่น เสียงเวลาอ้าปากกินอาหาร เสียงตอบสนองเมื่อดีใจ หรือเสียงเวลาตื่นเต้น
สิ่งสำคัญคือ การที่ลูกมีการเปล่งเสียงหลายรูปแบบ และเชื่อมโยงเสียงกับการกระทำหรือสถานการณ์ (เช่น อ้าปากและมีเสียง “อ่ำ” เวลากินข้าว) แสดงให้เห็นว่ากล้ามเนื้อปาก ลิ้น และการหายใจร่วมกับการสร้างเสียงกำลังพัฒนาได้ดีค่ะ นอกจากนี้ เด็กที่ได้รับการโต้ตอบจากพ่อแม่ (เช่น พูดว่า “อ้ำ~ อร่อยนะ” เวลากินข้าว) จะค่อยๆ จดจำและเรียนรู้ว่าเสียงเหล่านั้นสามารถใช้สื่อสารได้จริง
คุณพ่อสามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการได้โดยการพูดคำง่ายๆ ซ้ำๆ ในกิจกรรมประจำวัน เช่น เวลาป้อนข้าวพูดคำว่า “อ้ำ” หรือ “อร่อย” ชัดๆ และยิ้มให้สบตา เวลาลูกส่งเสียงตอบ ให้ยืนยันและเสริมเสียงนั้นกลับไป เด็กจะเริ่มเลียนเสียงเร็วขึ้น และมีความมั่นใจในการใช้เสียงมากขึ้นค่ะ พัฒนาการนี้จะต่อยอดไปสู่การพูดคำแรกๆ ที่มีความหมายชัดในช่วงประมาณ 12 เดือนขึ้นไปค่ะ
ที่อธิบายเบื้องต้น แบบนี้ลูกของผมเริ่มออกเสียงเรียกบ้างแล้วใช่ไหมครับ แบบนี้ปกติไหมครับ เพราะเวลาสอนน้องไม่ขยับปาก ออกเสียงตามเลย
จากข้อมูลที่คุณพ่อเล่า การที่ลูกวัย 9 เดือนส่งเสียง “อือ”, “อา” หรือเสียงคล้ายเรียก เช่น “แม่” และ “อ่ำ” ในสถานการณ์ต่างๆ ถือว่าเป็นสัญญาณว่าพัฒนาการด้านการสื่อสารและการใช้เสียงเริ่มเติบโตตามวัยค่ะ เด็กในวัยนี้ยังไม่จำเป็นต้องเลียนเสียงหรือขยับปากตามคำที่เราสอนทันที เพราะสมองและทักษะการเลียนเสียงต้องใช้เวลาและการฝึกซ้ำๆ จึงจะเริ่มทำได้ชัดขึ้น ส่วนใหญ่การเลียนเสียงตรงๆ จะเห็นชัดขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยประมาณ 10–12 เดือนขึ้นไปค่ะ
สิ่งที่แสดงว่าพัฒนาการอยู่ในเกณฑ์ปกติ ได้แก่
- มีการส่งเสียงต่างๆ ทั้งในเวลาถูกเรียก ชวนเล่น หรือขณะทำกิจกรรม เช่น กินข้าว
- เชื่อมโยงเสียงกับสถานการณ์บางอย่าง เช่น อ่ำตอนอ้าปาก, ส่งเสียงเวลาร้องเรียก
- ตอบสนองต่อชื่อทุกครั้งโดยหันหรือมีปฏิกิริยา
- มีปฏิสัมพันธ์ทางสายตาและสีหน้ากับคนรอบข้าง
คำแนะนำสำหรับการฝึกเพิ่ม คือ พูดกับลูกด้วยเสียงชัดๆ และช้าๆ ใช้คำง่ายๆ ซ้ำๆ ในกิจกรรมประจำวัน (เช่น “แม่” “พ่อ” “อ่ำ”) ประกอบกับการสบตาและยิ้ม เพื่อให้ลูกเห็นการขยับปากและเชื่อมโยงความหมาย การที่ลูกยังไม่เลียนเสียงหรือขยับปากตามในวัยนี้ถือว่าปกติ แต่การกระตุ้นสม่ำเสมอจะช่วยให้เขาเริ่มเลียนเสียงได้เร็วและชัดเจนขึ้นค่ะ หากถึงวัยประมาณ 12 เดือนแล้วยังไม่มีความหลากหลายของเสียงหรือไม่พยายามเลียนเสียงเลย ก็แนะนำปรึกษากุมารแพทย์ด้านพัฒนาการเพื่อประเมินเพิ่มเติมค่ะ
ถ้าลูก9เดือนไม่ถ่าย 3-4วัน แบบนี้ต้องไปหาหมอไหมครับ ปกติไม่ถ่ายนานสุดหี่วันครับ น้องหินนมผง+ข้าว2มื้อ
สำหรับลูกวัย 9 เดือน การขับถ่ายจะเปลี่ยนไปตามอาหารที่ได้รับค่ะ เด็กที่กินนมผงและเริ่มอาหารเสริม (เช่น ข้าว วันละ 2 มื้อ) อาจมีการถ่ายไม่ทุกวัน ซึ่งในบางรายอาจเว้นได้ถึง 2-3 วันโดยยังถือว่าปกติ หากไม่มีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วยค่ะ เช่น ไม่งอแงมาก ไม่ท้องแข็งหรือบวมผิดปกติ และอุจจาระที่ถ่ายออกมาเมื่อถึงเวลายังไม่แข็งจนเกินไปก็สามารถสังเกตที่บ้านได้ค่ะ แต่ถ้าลูกไม่ถ่ายนาน 3-4 วันแล้วเริ่มมีอาการดังต่อไปนี้ ควรพาไปพบแพทย์ทันทีนะคะ: ท้องแข็งและกดแล้วเจ็บมาก, มีอาการร้องงอแงผิดปกติหรือนอนไม่หลับจากท้องอืด, อาเจียนบ่อยหรืออาเจียนมีน้ำดี, อุจจาระมีเลือดหรือแข็งมากจนถ่ายลำบาก, เบื่ออาหาร ไม่ยอมกินนมและอาหารตามปกติ ในกรณีที่ไม่มีอาการรุนแรง สามารถช่วยกระตุ้นให้ลูกถ่ายโดยเพิ่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน, เพิ่มใยอาหารจากผักและผลไม้ที่เหมาะกับวัย เช่น ฟักทองต้ม, มะละกอสุกบด, กล้วยน้ำว้าสุกบด, และนวดหน้าท้องเบาๆ ตามเข็มนาฬิกาหรือขยับขาลูกแบบปั่นจักรยาน เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้นค่ะ หากพยายามปรับแล้วยังไม่ถ่ายเกิน 4 วัน หรือมีอาการเจ็บปวดร่วม ควรไปพบกุมารแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาอย่างเหมาะสมค่ะ