การวินิจฉัยโรคติดเชื้อเอชไอวีทำอย่างไร?
การวินิจฉัยโรคติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ทำโดยการตรวจเลือดเป็นหลักค่ะ โดยขั้นตอนทั่วไปจะประกอบด้วย
- การตรวจคัดกรอง (Screening Test): ใช้การตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อ HIV หรือบางครั้งตรวจหาแอนติเจนของไวรัส เช่น การตรวจ ELISA หรือการตรวจเชื้อด้วยชุดทดสอบแบบรวดเร็ว (Rapid Test) ซึ่งสามารถทราบผลเบื้องต้นได้ในเวลาไม่นานค่ะ
- การตรวจยืนยัน (Confirmatory Test): หากผลคัดกรองพบว่ามีความเป็นไปได้ว่าติดเชื้อ จะต้องตรวจยืนยันด้วยวิธีมาตรฐาน เช่น การตรวจ Western blot, Immunoblot หรือการตรวจ NAT (Nucleic Acid Test) เพื่อหาสารพันธุกรรมของเชื้อโดยตรงค่ะ
- การตรวจเพิ่มเติมในบางกรณี: เช่น การตรวจ Viral Load เพื่อดูปริมาณเชื้อ หรือการตรวจ CD4 count เพื่อติดตามสุขภาพและประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันค่ะ
การวินิจฉัยจะต้องทำตามลำดับขั้นตอนเพื่อให้มั่นใจว่าผลถูกต้องและลดความเสี่ยงของการให้ข้อมูลผิดพลาดค่ะ โดยผลตรวจ HIV จะต้องประเมินร่วมกับประวัติความเสี่ยงทางพฤติกรรม เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วม หรือการได้รับเลือดที่ไม่ได้ผ่านการตรวจคัดกรองค่ะ เพื่อความแม่นยำ ควรตรวจซ้ำในระยะเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากในช่วงแรกหลังติดเชื้อ (Window Period) ร่างกายอาจยังไม่สร้างแอนติบอดีเพียงพอต่อการตรวจพบค่ะ
นอกจากนี้ การตรวจ HIV ต้องทำภายใต้การให้คำปรึกษาทั้งก่อนและหลังตรวจ เพื่อให้ผู้รับการตรวจเข้าใจถึงความหมายของผลและแนวทางการดูแลรักษาหากพบว่าติดเชื้อค่ะ การตรวจพบเร็วจะช่วยให้เริ่มการรักษาได้เร็ว ลดความเสียหายต่อระบบภูมิคุ้มกัน และลดโอกาสแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นค่ะ