ตกขาวเรื้อรังหลายปี อันตรายไหม และโรคอักเสบในอุ้งเชิงกราน ?

ตกขาวเรื้อรังหลายปีตั้งแต่มี พสพ.ปล่อยใน อันตรายมั้ยคะ

การที่ตกขาวเกิดขึ้นเรื้อรังเป็นระยะเวลานาน และมีความเกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์อาจมีความเสี่ยงสำหรับสุขภาพของอวัยวะสืบพันธุ์และระบบร่างกายค่ะ ตกขาวสามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ แต่หากมีลักษณะผิดปกติเช่น มีกลิ่นแรง สีเปลี่ยนเป็นเขียวหรือเหลือง หรือมีลักษณะคล้ายหนอง อาจเป็นสัญญาณของโรคติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย, เชื้อราที่ช่องคลอด, หรือการติดเชื้อ STI (Sexually Transmitted Infection) เช่น หนองในหรือเชื้อ Trichomonas ค่ะ

สิ่งที่ควรพิจารณาเพื่อรักษาสุขภาพของคุณ:

  1. ตรวจสอบลักษณะตกขาว: ร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น อาการคันตกขาวมีสีผิดปกติ หรือมีกลิ่น วิ่งไปพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อวินิจฉัย หากไม่มีอาการเหล่านี้แต่ตกขาวเรื้อรัง ก็ยังควรให้แพทย์ตรวจสอบเพื่อหาสาเหตุค่ะ

  2. ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์: การใช้ถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ รวมถึงการตรวจสุขภาพประจำปีเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพื่อสร้างความมั่นใจค่ะ

  3. ดูแลสุขอนามัยฯ: ทั้งในด้านการเปลี่ยนกางเกงชั้นในบ่อยๆ, หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจทำให้ช่องคลอดระคายเคือง, และการล้างช่องคลอดอย่างถูกวิธีโดยไม่ใช้น้ำยาทำความสะอาดที่แรงเกินไปค่ะ

แนะนำให้หาเวลาไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับอาการตกขาวเรื้อรังนี้ โดยแพทย์จะให้คำวินิจฉัยที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสุขภาพของคุณค่ะ เพราะอาการนี้หากไม่ได้รับการดูแล อาจนำไปสู่โรคร้าย เช่น PID (Pelvic Inflammatory Disease) ได้ค่ะ

โรคอักเสบในอุ้งเชิงกราน มีอาการอย่างไร

โรคอักเสบในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease หรือ PID) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อที่แพร่กระจายไปสู่อวัยวะภายในที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน เช่น มดลูก, ท่อนำไข่ และรังไข่ค่ะ สำหรับอาการที่พบบ่อยของโรคนี้ มีดังนี้ค่ะ:

  1. อาการในระดับเบื้องต้น:

    • ปวดท้องส่วนล่างหรืออุ้งเชิงกราน โดยมีความเจ็บในลักษณะปวดๆ หรือแสบร้อน
    • ตกขาวมีลักษณะผิดปกติ เช่น มีสีเหลืองหรือเขียว และมีกลิ่นแรง
    • อาการปวดขณะมีเพศสัมพันธ์
    • มีเลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน หรือหลังมีเพศสัมพันธ์
  2. อาการในระดับที่รุนแรงขึ้น:

    • มีไข้สูงร่วมกับหนาวสั่น
    • คลื่นไส้ อาเจียน
    • อ่อนแรงและรู้สึกเหนื่อยง่าย
    • ปวดหลังหรือด้านล่างของช่วงเอวร่วมด้วย
  3. ผลกระทบและความเสี่ยง:

    • หากไม่ได้รับการรักษา ท่อนำไข่อาจเกิดแผลเป็น ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะมีบุตรยาก
    • ความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูก เนื่องจากท่อนำไข่เกิดการอุดตัน
    • ในบางกรณีอาการอาจลุกลามจนเกิดฝีในรังไข่หรืออุ้งเชิงกราน ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือดหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมค่ะ

หากคุณสงสัยว่าตนเองมีอาการของโรคนี้ ควรรีบไปพบแพทย์โดยทันทีเพื่อทำการตรวจรักษา เพราะการได้รับยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมแต่เนิ่นๆ สามารถช่วยลดความเสี่ยงของผลกระทบระยะยาวได้ค่ะ