อาการเจ็บหัวนมหลังหยุดยาคุม และปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน

คุณหมอที่พอทราบตอบหน่อยนะคะ กินยาคุมยี่ห้อนึง เนื่องจากเป็นสิวค่ะหมอผิวสั่งเพราะเราเป็นสิว
และ หลังจากนั้นเป็นแพนิคคุณหมอจิตแพทย์ก็เลยแนะนำให้กินอย่างต่อเนื่อง เพราะเรามีอาการเครียดก่อนประจำเดือนจะ เราทานยาวมามากกว่า 3 ปีค่ะ มีช่วงหยุดน้อยมากๆ 1 วีค / 1 เดือน แต่ส่วนมาก ทานติดกันทุกเดือน
เมื่อปลายปีที่ผ่านมาประจำเดือนมาน้อยลงมาก และบางทีมาตอนทั้งที่ยังยังทานยาคุม ตอนนี้หยุดได้เกือบหนึ่งเดือนแล้วค่ะ หลังจากหยุดได้เกือบหนึ่งเดือนสิวแบบไม่มีหัวก็ขึ้น ที่คาง/จมูก เจ็บมากก คิดว่าซีส!

มีคนแนะนำว่าควรจะทานหกเดือนแล้วเว้นสามเดือน ทานติดต่อกันจะเป็นหมัน หมดลูกแห้ง

แต่ที่เราหยุดเะราะกลัวเรื่อง เส้นเลือดในสมอง/หรือวิจัยที่มีความเสี่ยงมะเร็งเต้านม

ในกรณีแบบเรา ที่แพนิคดีขึ่นแล้ว แต่สิวหัวใหญ่ กลับมา แต่อยากดูแลสุขภาพแบบจากการปรับการกินกับพฤติกรรมมากกว่า สิ่งเหล่านี้พอจะเป็นไปได้มั้ยคะที่มันจะะทำให้เรามีฮอร์โมนที่ดีขึ้น? หรือควรไปตรวจที่ รพ แต่ไม่ทราบว่าจะไปตรวจอะไร

วอนช่วยเราทีค่า :face_holding_back_tears:

จากที่คุณเล่ามา การหยุดยาคุมกำเนิดหลังจากทานมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานสามารถส่งผลต่อฮอร์โมนและร่างกายโดยรวมได้ค่ะ โดยเฉพาะเมื่อร่างกายต้องปรับตัวต่อฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงหลังการหยุดยา เพราะยาคุมกำเนิดมีผลต่อการควบคุมฮอร์โมนเพศหญิง อาการสิวที่กลับมาและประจำเดือนที่เปลี่ยนแปลงเป็นผลที่พบได้บ่อยเมื่อหยุดใช้ค่ะ

สิ่งที่คุณควรพิจารณาและทำในสถานการณ์นี้คือ:

  1. การดูแลสุขภาพฮอร์โมนผ่านการปรับอาหารและพฤติกรรม

    • เลือกอาหารที่ช่วยรักษาสมดุลฮอร์โมน เช่น ผักใบเขียวเข้ม อาหารที่มีโอเมก้า 3 (ปลา, เมล็ดแฟลกซ์) และอาหารที่มีไฟเบอร์สูง
    • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและแป้งขัดขาวลดโอกาสฮอร์โมนแปรปรวน
    • พักผ่อนให้เพียงพอ และจัดการความเครียด เนื่องจากความเครียดเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้ฮอร์โมนผิดปกติ
  2. สิวที่กลับมาแบบไม่มีหัวและเจ็บมาก

    • สิ่งนี้อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหลังหยุดยาคุม สิวที่ลักษณะเหมือนซีสต์อาจเกี่ยวกับฮอร์โมนหรือการอักเสบในชั้นผิว
    • คุณควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อประเมินว่าปัญหาสิวนี้เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อ หรือปัจจัยภายนอก
  3. ข้อกังวลเกี่ยวกับสุขภาพระยะยาว

    • การทานยาคุมกำเนิดอย่างต่อเนื่องอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคบางชนิด เช่น ลิ่มเลือดอุดตัน (Thrombosis) และมะเร็งเต้านมในบางกรณี แต่ความเสี่ยงนี้ขึ้นอยู่กับประวัติครอบครัวและสุขภาพปัจจุบันของคุณ
    • เพื่อข้อมูลที่ชัดเจน คุณควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดและฮอร์โมน เช่นตรวจฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen, Progesterone) และการตรวจสุขภาพพื้นฐานอื่น ๆ เช่น ตรวจระดับน้ำตาลและไขมันเพื่อดูภาพรวมสุขภาพ

แนะนำให้คุณไปพบแพทย์เฉพาะทางทั้งด้านฮอร์โมน (Endocrinologist) เพื่อวิเคราะห์สุขภาพฮอร์โมน และแพทย์ผิวหนังเพื่อดูแลสิวที่เป็นค่ะ การตรวจที่รพ.จะช่วยให้คุณทราบสถานะสุขภาพของร่างกายได้ชัดเจนค่ะ

นอกจากนี้ยังมีอาการเจ็บหัวนมด้วยค่ะ

อาการเจ็บหัวนมที่คุณสังเกตพบ รวมกับปัญหาอื่น ๆ เช่น สิวและการเปลี่ยนแปลงของประจำเดือน อาจเกิดจากการปรับตัวของฮอร์โมนในร่างกายหลังการหยุดยาคุมกำเนิดค่ะ เนื่องจากการหยุดยาอาจทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนลดหรือไม่สมดุล ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของระบบสืบพันธุ์และลักษณะทางร่างกาย โดยมีสิ่งที่คุณควรทราบดังนี้:

  1. เจ็บหัวนม:

    • อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่มีผลต่อเนื้อเยื่อที่บริเวณเต้านม ซึ่งเป็นผลที่พบได้ทั่วไปในช่วงก่อนหรือหลังประจำเดือน หรือแม้กระทั่งในภาวะที่ฮอร์โมนของร่างกายปรับตัว
    • ถ้าหัวนมเจ็บร่วมกับการเปลี่ยนแปลงขนาดหรือรูปร่างของเต้านม (เช่น การมีก้อน หรือบวม) แนะนำว่าควรพบแพทย์เพื่อการตรวจเพิ่มเติมค่ะ
  2. สิ่งที่ควรทำในเบื้องต้น:

    • สังเกตอาการเจ็บหัวนม ว่ามีความสัมพันธ์กับวัฏจักรประจำเดือนหรือไม่ หากอาการเกิดขึ้นในช่วงการเปลี่ยนแปลงของประจำเดือน นี่อาจเป็นเรื่องปกติค่ะ
    • ใช้ชุดชั้นในที่พอดีและไม่รัดแน่นจนเกินไปเพื่อช่วยลดการระคายเคือง
    • ทานอาหารที่ช่วยลดอาการบวมหรืออักเสบ เช่น อาหารที่มีโอเมก้า 3 และอาหารที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  3. สิ่งที่ควรตรวจเพิ่มเติม:

    • การตรวจฮอร์โมน: ควรตรวจระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน และฮอร์โมนอื่น ๆ เช่น โปรแลคติน (Prolactin) เพื่อดูว่ามีความผิดปกติหรือไม่
    • ตรวจเต้านม: เมื่อมีอาการเจ็บหัวนมร่วมกับอาการผิดปกติอื่น ๆ เช่น ก้อนเต้านม หรือการบวมผิดปกติ ให้พบแพทย์เพื่อตรวจด้วยตาและอัลตร้าซาวด์ตรวจเต้านมเพื่อความมั่นใจค่ะ
    • หากมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพรวมถึงความเสี่ยงมะเร็งเต้านม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนรีเวชหรือมะเร็งเต้านมโดยตรงค่ะ

เพื่อความชัดเจนและปลอดภัย ขอแนะนำว่าคุณควรพบแพทย์เพื่อพูดคุยรายละเอียดและตรวจเพิ่มเติมค่ะ การรักษาสุขภาพแต่ละบุคคลอาจต้องเน้นที่ความเฉพาะเจาะจงของร่างกายคุณในปัจจุบันค่ะ