โรคไข้เลือดออก (Dengue fever) เป็นโรคที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค แพร่ระบาดหนักในฤดูฝนเป็นประจำทุกปี ความรุนแรงของโรคมีหลายระดับ ตั้งแต่ไม่แสดงอาการใด ๆ อาการเล็กน้อย ไปจนถึงขั้นช็อก และอาจเสียชีวิตได้ [4-5]
นอกจากผลกระทบทางสุขภาพแล้ว การป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกยังก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในการรักษาตัว บางคนต้องขาดรายได้ในช่วงที่พักรักษาตัว พาลไปถึงสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ไปตามกัน รู้แบบนี้แล้ว เตรียมพร้อมรับมือกับโรคไข้เลือดออก ลดความสูญเสียให้น้อยที่สุดดีกว่า
รู้จักโรคไข้เลือดออกให้มากขึ้น
โรคไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) มียุงลายตัวเมียเป็นพาหะนำโรค คือ ยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) และยุงลายสวน (Aedes albopictus) ที่มักออกหากินตอนกลางวัน [1,4]
การแพร่กระจายของเชื้อเกิดขึ้นเมื่อยุงลายกัดคนที่มีเชื้อไวรัสเดงกี เชื้อจะเข้าไปเพิ่มจำนวนในตัวยุง เมื่อยุงลายตัวนั้นไปกัดคนอีกคนหนึ่ง ทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้นในตัวคน จนเป็นโรคไข้เลือดออกขึ้น
เชื้อไวรัสเดงกีมีด้วยกัน 4 สายพันธุ์หลัก คือ DENV–1, DENV–2, DENV–3 และ DENV–4 คนที่เคยติดเชื้อไวรัสเดงกีสายพันธุ์ใดไปแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ที่เคยติดไปตลอด ส่วนสายพันธุ์อื่นจะมีภูมิคุ้มกันระยะสั้น ทำให้มีโอกาสติดสายพันธุ์อื่นได้ และอาการมักรุนแรงขึ้นกว่าในครั้งก่อน [3-4]
อาการของโรคไข้เลือดเป็นแบบไหน มีกี่ระยะ
โรคไข้เลือดออกก่อให้เกิดอาการได้หลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการเลย ไปจนถึงอาการรุนแรง การติดเชื้อครั้งแรกส่วนมากจะไม่รุนแรงหรือมีอาการน้อย แต่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในครั้งถัดไป [3-5]
ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการของโรคไข้เลือดออกหลังถูกยุงลายกัดประมาณ 4–7 วัน การดำเนินโรคแบ่งเป็นระยะต่าง ๆ ดังนี้
ระยะไข้ (Febrile phase)
เป็นระยะแรก จะมีไข้สูงเฉียบพลัน อาจสูงถึง 39–40 องศาเซลเซียส มักเป็นอยู่นาน 2–7 วัน ร่วมกับอาการอื่น ๆ คือ [4-5]
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดศีรษะ ปวดบริเวณรอบดวงตา
- ปวดกระดูก ปวดข้อต่อ
- เกิดผื่นแดงหรือจุดเลือดออกสีแดงตามผิวหนัง
- อาจมีอาการปวดท้องบริเวณชายโครงขวา กดเจ็บบริเวณลิ้นปี่
ระยะวิกฤต (Critical Phase)
แม้ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่ได้เข้าสู่ระยะนี้ แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้ ถือเป็นระยะอันตรายที่ต้องเฝ้าระวัง เพราะอาจเสี่ยงเกิดภาวะช็อกจนเป็นอันตรายถึงชีวิต สังเกตได้จากไข้ที่สูงเริ่มลดลง แต่อาการอื่น ๆ ไม่ดีขึ้น หรือเกิดอาการรุนแรงมากกว่าเดิม คือ [1,3-5]
- มีภาวะเลือดออกผิดปกติ เช่น อาเจียนเป็นเลือด เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน อุจจาระเป็นเลือดหรือมีสีดำ ปัสสาวะสีน้ำตาลหรือดำ
- เกิดภาวะการไหลเวียนโลหิตล้มเหลวหรือภาวะช็อก (Dengue shock syndrome) ผู้ป่วยจะปัสสาวะน้อย มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นแผ่ว หน้ามืด หมดสติ และช็อก ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้
ระยะฟื้นตัว (Recovery phase)
ผู้ป่วยที่ผ่านระยะไข้โดยไม่ได้เข้าสู่ระยะวิกฤต หรือผ่านพ้นระยะวิกฤติมาได้ จะเข้าสู่ระยะฟื้นตัว ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของโรคไข้เลือดออกก่อนหายจากโรค อาการต่าง ๆ จะดีขึ้นตามลำดับ [3-5]
โดยไข้เริ่มลดลง ระบบไหลเวียนโลหิตกลับมาเป็นปกติ ความดันโลหิตและชีพจรเริ่มคงที่ เริ่มรับประทานอาหารได้ อาจมีผื่นแดง เป็นวงขาว ๆ สากเมื่อสัมผัส คันตามฝ่ามือและฝ่าเท้า ซึ่งจะหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ [3-5]
ผลกระทบของไข้เลือดออก และค่าเสียโอกาส
แน่นอนว่าการป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกย่อมทำให้สุขภาพของเราแย่ลงไม่มากก็น้อย แม้คนส่วนมากอาการไม่รุนแรง แต่บางคนเสี่ยงเกิดภาวะรุนแรงในระยะวิกฤต ทำให้เลือดออกผิดปกติ ช็อก หมดสติ และร้ายแรงถึงขึ้นเสียชีวิตได้เลย
ไม่เพียงแต่สุขภาพทางร่างกาย ยังกระทบกับสภาพจิตใจ เกิดความเครียด ความกลัว หรือความวิตกกังวลจากการเผชิญกับอาการของโรค กระทบไปถึงการใช้ชีวิต ต้องหยุดงาน หยุดเรียน จนต้องรบกวนครอบครัวหรือคนใกล้ตัวมาดู
สิ่งที่ตามมา คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นและค่าเสียโอกาส
- ค่าใช้จ่ายในการรักษา เช่น ค่ายา ค่าห้องพัก และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ย่อมกระทบต่อสภาพการเงินของผู้ป่วยและครอบครัว เพราะต้องมีการรักษาอย่างต่อเนื่อง
- การสูญเสียรายได้จากการหยุดงานเนื่องจากอาการป่วย ส่งผลให้ขาดรายได้ในช่วงเวลานั้น หรือคนในครอบครัวที่อาจต้องหยุดงานมาดูแล
การป้องกันโรคไข้เลือดออกจะช่วยลดผลกระทบได้หลายด้าน ทั้งด้านสุขภาพ การใช้ชีวิต และค่าเสียโอกาสได้
วิธีป้องกันโรคไข้เลือดออกได้มีประสิทธิภาพ คือ ระวังไม่ให้ยุงลายกัด โดยสวมใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด ติดมุ้งลวดป้องกันยุงเข้าในบ้าน กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย และฉีดพ่นยากำจัดยุง โดยเฉพาะในฤดูฝน และฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก 4 สายพันธุ์ [1,3-5]
ฉีดวัคซีนไข้เลือดออก ป้องกันโรค ช่วยลดความสูญเสีย
วัคซีนไข้เลือดเป็นหนึ่งในวัคซีนเสริมหรือวัคซีนทางเลือกที่คนไทยควรฉีด โดยวัคซีนไข้เลือดออกป้องกันการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ ปัจจุบันวัคซีนไข้เลือดออกในประเทศไทยมี 2 ชนิดด้วยกัน ดังนี้ [5]
วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 2 เข็ม
มีคุณสมบัติของวัคซีนและผู้รับวัคซีน ดังนี้ [2,5]
- เหมาะกับคนอายุ 4 ปีขึ้นไป สามารถฉีดได้ทั้งคนที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออก ไม่ต้องตรวจภูมิคุ้มกันโรคไข้เลือดออกก่อนรับวัคซีน
- ฉีดทั้งหมด 2 เข็ม แต่ละเข็มห่างกัน 3 เดือน
วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 3 เข็ม
มีคุณสมบัติของวัคซีนและผู้รับวัคซีน ดังนี้ [4-5]
- เหมาะกับคนอายุ 6–45 ปี และเคยมีประวัติไข้เลือดออกแล้วเท่านั้น หากไม่มีประวัติเป็นไข้เลือดออก แนะนำให้ตรวจภูมิคุ้มกันต่อโรคก่อนรับวัคซีน
- ฉีดทั้งหมด 3 เข็ม แต่ละเข็มห่างกัน 6 เดือน
การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกอาจช่วยลดผลกระทบด้านสุขภาพ การใช้ชีวิต และค่าเสียโอกาสจากโรคนี้ได้ หากมีข้อสงสัยสามารถปรึกษาแพทย์เพิ่มเติม
ที่มาของข้อมูล:
- กรมควบคุมโรค: “ไข้เด็งกี่ (Dengue)”.
- สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย: “ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย แนะนำโดย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย 2568”
- โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์: “โรคไข้เลือดออก”.
- โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์: “ไข้เลือดออก ภัยร้ายจากยุงลาย”.
- โรงพยาบาลนครธน: “ไข้เลือดออกในเด็ก ภัยเงียบจากยุงร้าย”.
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นสำหรับประชาชนเป็นการทั่วไปโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการให้ข้อมูลเท่านั้น ข้อมูลนี้ไม่ควรถูกนำไปใช้เพื่อวินิจฉัยหรือรักษาปัญหาสุขภาพหรือโรคใด ๆ การให้ข้อมูลดังกล่าวนี้ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการทดแทนการปรึกษากับผู้ให้บริการทางการแพทย์ โปรดปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ของท่านสำหรับคำแนะนำเพิ่มเติม
ANPROM/TH/DENV/0764: APR 2025