ไข้เลือดออกเป็นภัยร้ายที่หลายคนอาจมองข้าม คนติดเชื้อส่วนมากมักไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย กลับกันคนที่อาการรุนแรงมาก อาจเสี่ยงช็อกหลังไข้ลงได้ แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้น จะสังเกตอาการโรคไข้เลือดออกรุนแรงได้ยังไง บทความนี้มีคำตอบมาฝาก
รู้จักกับโรคไข้เลือดออก โรคอันตรายใกล้ตัว
ไข้เลือดออก (Dengue fever) เป็นโรคแพร่ระบาดในฤดูฝน พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue) โดยจะติดต่อผ่าน “ยุงลายตัวเมีย” ไปกัดคนที่ติดเชื้อมาก่อน แล้วไปกัดอีกคนในภายหลัง ไม่ใช่โรคติดต่อจากคนสู่คนโดยตรง [1,4]
นอกจากนี้ ไข้เลือดออกอาจติดต่อผ่านคนสู่คนได้จากการคลอดตามธรรมชาติ เพราะลูกน้อยอาจสัมผัสโดนเลือดของคุณแม่ระหว่างคลอด กรณีหายากอาจติดต่อได้จากการบริจาคอวัยวะ หรือการถ่ายเลือด [1]
เชื้อไวรัสเดงกีมีอยู่ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 ทุกสายพันธุ์ล้วนก่อโรคไข้เลือดออกได้หมด เมื่อติดสายพันธุ์ใดแล้ว ก็อาจเป็นซ้ำได้อีกจากสายพันธุ์อื่น [4]
ไข้เลือดออกระยะไหนอันตราย สังเกตอาการยังไง
คนที่เป็นไข้เลือดออกอาจไม่มีอาการใด ๆ เลย หรืออาการไม่รุนแรง อยู่ในระยะไข้สูงเท่านั้น ส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นจนเป็นปกติใน 1–2 สัปดาห์ [1,4] แต่บางคนอาจเกิดอาการรุนแรง เข้าสู่ระยะวิกฤต โดยเฉพาะการติดเชื้อซ้ำต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก
การดำเนินโรคไข้เลือดออกแบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้ [2-3]
ระยะไข้สูง (Febrile phrase)
เป็นระยะที่ผู้ป่วยจะมีไข้สูง 39–40 องศาเซลเซียสติดต่อกัน 2–7 วัน คล้ายเป็นไข้หวัด มักไม่มีอาการไอและไม่มีน้ำมูก รวมถึงอาจมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย คือ [3-5]
- ปวดศีรษะ ปวดเบ้าตา
- ตัวแดง ตาแดง
- ปวดกล้ามเนื้อ เมื่อยตามตัว ปวดข้อ ปวดกระดูก
- คลื่นไส้ อาเจียน
- เบื่ออาหาร
- อาจมีอาการปวดท้องบริเวณชายโครงขวา กดเจ็บบริเวณลิ้นปี่
- หน้าแดง มีจ้ำเลือด หรือเป็นผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย
- มีภาวะเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล ปัสสาวะปนเลือด อุจจาระปนเลือด หรืออาเจียนเป็นเลือด
ระยะวิกฤต (Critical phrase)
ระยะวิกฤตจะเกิดขึ้นประมาณ 3–7 วันหลังระยะไข้สูง ผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน อาการจะเริ่มดีขึ้น ส่วนคนที่มีภาวะแทรกซ้อน อาการจะรุนแรงมากขึ้น เช่น คลื่นไส้ อาเจียนอย่างต่อเนื่อง เบื่ออาหาร และปวดท้องอย่างรุนแรง [3-5]
นอกจากนี้ อาจเกิดภาวะช็อกจากการขาดน้ำหรือเสียเลือด (Hypovolemic shock) หรือเกิดภาวะช็อก เนื่องจากการรั่วของพลาสมาออกไปยังช่องปอดและช่องท้อง ทำให้การไหลเวียนเลือดล้มเหลว หากรุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ จึงเป็นระยะอันตราย [3-5]
โดยสังเกตได้จากอาการเหล่านี้ มักจะเกิดตอนไข้ลงอย่างรวดเร็ว [1,3-5]
- กระสับกระส่าย
- มือเท้าเย็น
- ปัสสาวะน้อย
- ชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ
- ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง
- เลือดออกในทางเดินอาหาร หรือส่วนอื่น เช่น อาเจียนเป็นเลือด ปัสสาวะปนเลือด อุจจาระปนเลือด ประจำเดือนมามากหรือมานานผิดปกติในผู้หญิง
หากเป็นไข้สูงเกิน 2 วัน หรือพบอาการในข้างต้น ให้รีบพบแพทย์ทันที และคนที่ติดเชื้อไข้เลือดออกซ้ำ ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ [4-5]
ระยะฟื้นตัว (Recovery phrase)
เป็นระยะปลอดภัย ใกล้หายแล้ว อาการโดยรวมจะค่อย ๆ ดีขึ้น ไข้ลดลง อุณหภูมิร่างกายเป็นปกติ อยากอาหารมากขึ้น ชีพจรเต้นแรงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ปัสสาวะออกมากขึ้น มีผื่นแดงสาก ๆ เป็นวงสีขาว ๆ แต่จะค่อย ๆ หายไปเอง [3-5]
ใครเสี่ยงเป็นไข้เลือดออกรุนแรง
โรคไข้เลือดออกเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่กลุ่มคนที่เมื่อเป็นไข้เลือดออกแล้ว อาการจะรุนแรงมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ได้แก่ ผู้สูงอายุ เพราะมีโรคประจำตัวหลายโรค และมีภูมิต้านทานต่ำ รวมถึงคนที่เป็นโรคอ้วน หรือมีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคธาลัสซีเมีย [3-4]
โรคไข้เลือดออก รักษาอย่างไร
ไข้เลือดออกเป็นโรคที่ไม่มียารักษาโดยเฉพาะ การรักษาจะเป็นไปตามอาการและความรุนแรงของโรค เพื่อให้ผู้ป่วยกลับสู่ภาวะปกติให้เร็วที่สุด เช่น การให้เลือดในคนที่มีภาวะเลือดออกมาก การให้สารน้ำหรือน้ำเกลือทางหลอดเลือด เพื่อป้องกันภาวะช็อกจากการสูญเสียน้ำหรือเลือดในร่างกาย [3-5]
นอกจากนี้ ควรดูแลตัวเองตามคำแนะนำแพทย์ โดยให้พักผ่อนให้เพียงพอ จิบผงเกลือแร่โอ อาร์ เอส (ORS: Oral rehydration salt) เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำในร่างกาย รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย [1,3-5]
กรณีมีไข้ให้เช็ดตัวลดไข้เป็นระยะ สามารถใช้ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ตามปริมาณแพทย์แนะนำได้ ห้ามใช้ยากลุ่ม NSAIDs อย่างไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เด็ดขาด เพราะจะทำให้เลือดออกมากกว่าเดิม [1,3-5]
โรคไข้เลือดออก ป้องกันได้อย่างไร
หลักป้องกันไข้เลือดออก คือ การหลีกเลี่ยงการถูกยุงกัดให้มากที่สุด ร่วมกับการฉีดวัคซีนไข้เลือดออก ดังนี้ [1,3-5]
- สวมเสื้อผ้ามิดชิด ใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว สวมถุงเท้า
- ทาครีม พ่นสเปรย์กันยุง หรือผลิตภัณฑ์กันยุงที่มีสารป้องกันยุงที่มีประสิทธิภาพ เช่น สาร DEET (ดีท) Picaridin หรือ IR3535
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ทั้งในบ้านและนอกบ้าน เช่น จัดข้าวของให้เป็นระเบียบ ภาชนะที่มีน้ำควรปิดฝาให้สนิท หรือเปลี่ยนน้ำทุกอาทิตย์ ปิดฝาขยะ กำจัดน้ำนิ่งและน้ำขังตามภาชนะต่าง ๆ
- ปิดหน้าต่าง ติดมุ้งลวด เพื่อป้องกันยุงเข้ามาในบ้าน หรือนอนในมุ้งป้องกันยุงกัด
- ฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก 4 สายพันธุ์
การฉีดวัคซีนไข้เลือดออก 4 สายพันธุ์ ฉีดอย่างไร ฉีดกี่เข็ม
วัคซีนไข้เลือดออกป้องกันไวรัสเดงกีได้ครอบคลุมถึง 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 โดยวัคซีนจะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อไข้เลือดออก ลดความรุนแรงของโรค และลดอัตราการนอนโรงพยาบาล [4-5]
วัคซีนไข้เลือดออกในประเทศไทย มีอยู่ 2 ชนิด คือ [2,5]
-
วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 2 เข็ม ฉีดห่างกันเข็มละ 3 เดือน ใช้กับคนอายุ 4 ปีขึ้นไป ไม่ว่าจะเคยเป็น หรือไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อนก็ฉีดได้
-
วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 3 เข็ม ฉีดห่างกันเข็มละ 6 เดือน ใช้กับคนอายุ 6–45 ปี และเคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อน หากไม่แน่ใจว่าเคยติดเชื้อมาก่อนหรือไม่ แนะนำให้ตรวจภูมิคุ้มกันก่อนรับวัคซีน
ที่มาของข้อมูล:
- World Health Organization: “Dengue and severe dengue”.
- สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย: “ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย แนะนำโดย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย 2568”
- โรงพยาบาลศิครินทร์: “ไข้เลือดออก อันตราย!”.
- โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์: “ไข้เลือดออก ภัยร้ายจากยุงลาย”.
- โรงพยาบาลนครธน: “ไข้เลือดออกในเด็ก ภัยเงียบจากยุงร้าย”.
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นสำหรับประชาชนเป็นการทั่วไปโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการให้ข้อมูลเท่านั้น ข้อมูลนี้ไม่ควรถูกนำไปใช้เพื่อวินิจฉัยหรือรักษาปัญหาสุขภาพหรือโรคใด ๆ การให้ข้อมูลดังกล่าวนี้ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการทดแทนการปรึกษากับผู้ให้บริการทางการแพทย์ โปรดปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ของท่านสำหรับคำแนะนำเพิ่มเติม
C-ANPROM/TH/DENV/0763: APR 2025