ความจริงแล้วไข้เลือดออกนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด หากได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ โอกาสที่จะเสียชีวิตมีน้อยมาก จึงควรรู้จักสังเกตอาการเบื้องต้น และสัญญาณเตือนที่บ่งบอกถึงโรค เช่น ผื่นที่ขึ้นตามตัว ซึ่งมีลักษณะต่างจากผื่นทั่วไป แต่จะมีวิธีสังเกตอย่างไร ไปหาคำตอบได้ในบทความนี้เลย
ไข้เลือดออกคืออะไร?
ไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรค เมื่อยุงลายกัดผู้ที่มีเชื้อไวรัสแล้วไปกัดคนอื่นต่อ เชื้อก็จะแพร่เข้าสู่ร่างกายของคนที่ถูกกัดทันที [3]
เชื้อไวรัสเดงกีมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 โดยในประเทศไทยมักพบการติดเชื้อจากสายพันธุ์ DENV-1 และ DENV-2 เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 5 - 8 วัน จึงเริ่มแสดงอาการที่คล้ายไข้หวัด เช่น ตัวร้อน คลื่นไส้ เวียนศีรษะ ปวดเมื่อยเนื้อตัว [4,5]
ส่วนใหญ่คนที่เป็นครั้งแรกมักมีอาการไม่รุนแรง ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานมาสู้กับเชื้อไวรัส และสามารถหายได้เองใน 7 - 10 วัน เมื่อร่างกายติดเชื้อสายพันธุ์ใดไปแล้ว ก็จะมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นไปตลอดชีวิต แต่ภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นจะอยู่เพียงชั่วคราว ประมาณ 6 - 12 เดือน เท่านั้น จึงมีโอกาสติดเชื้อซ้ำจากสายพันธุ์ที่แตกต่างกันได้อีก ซึ่งจะทำให้เกิดอาการที่รุนแรง และมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น [6,7]
ไข้เลือดออกแบ่งเป็นกี่ระยะ?
อาการของโรคไข้เลือดออกสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
ผู้ป่วยจะมีไข้ขึ้นสูงเฉียบพลันต่อเนื่องประมาณ 2 - 7 วัน บางรายอาจมีไข้สูงถึง 40 องศา และมักไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้ นอกจากนี้อาจพบอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ วิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดรอบกระบอกตา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีผื่นแดงขึ้นตามตัว [4]
ระยะนี้ไข้จะเริ่มลดลง แต่ผู้ป่วยจะยังมีอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน หรือเบื่ออาหาร บางคนอาจชะล่าใจเพราะคิดว่ากำลังจะหายดี แต่จำเป็นต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษในช่วง 24 - 48 ชั่วโมง เพราะผู้ป่วยอาจมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ทำให้มีเลือดออกในเนื้อเยื่อ ทางเดินอาหาร อาเจียนเป็นเลือด มีเลือดปนมากับอุจจาระ มือเท้าเย็น เกิดการรั่วของพลาสมาออกจากหลอดเลือดฝอยไปยังอวัยวะต่างๆ ความดันโลหิตลดลงจนเกิดภาวะช็อก มีอาการน้ำท่วมปอด หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจมีความเสี่ยงถึงชีวิตได้ [4]
ระยะนี้ผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกดีขึ้น อยากทานอาหารมากขึ้น ร่างกายจะค่อยๆ ฟื้นตัว เกล็ดเลือดสูงขึ้น อุณหภูมิร่างกาย ความดันโลหิต และชีพจรกลับสู่ภาวะปกติ ผื่นมีลักษณะเป็นวงสีขาวบนปื้นสีแดง และค่อยๆ หายไปเอง [4,5]
อาการของไข้เลือดออก
อาการเริ่มต้นของไข้เลือดออกจะคล้ายไข้หวัดธรรมดา แต่ไม่มีอาการไอ เจ็บคอ และไม่มีน้ำมูก เนื่องจากไม่มีการอักเสบของทางเดินหายใจส่วนต้น ลักษณะอาการที่พบบ่อย เช่น [1]
- ตัวร้อน ไข้สูงมากกว่า 38.5 องศา
- คลื่นไส้ อาเจียน
- เบื่ออาหาร
- ปวดศีรษะ
- ปวดรอบกระบอกตา
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ หรือปวดกระดูก
- มีจ้ำเลือด หรือผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย
- ปวดท้องบริเวณชายโครงขวา
ลักษณะตุ่มหรือผื่นไข้เลือดออกเป็นอย่างไร?
ในช่วง 24 - 48 ชั่วโมงแรก ผู้ป่วยอาจมีอาการผิวแดงบริเวณใบหน้า ลำคอ และหน้าอก เนื่องจากการขยายตัวของเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนัง พอผ่านไป 3 - 5 วัน อาจเกิดผื่นแดงระยะที่ 2 กระจายทั่วตัว บริเวณแขน ขา หลังมือ หลังเท้า ลำตัว ใบหน้า โดยมีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดเล็กติดกันเป็นปื้นคล้ายโรคหัด แต่จะไม่บวมนูนเหมือนผื่นแพ้ หรือตุ่มที่เกิดจากแมลงสัตว์กัดต่อย บางรายอาจมีจุดเลือดออกใต้ผิวหนังด้วย [2]
ตุ่มหรือผื่นไข้เลือดออก กี่วันหาย?
โดยทั่วไปแล้ว ตุ่มหรือผื่นจากไข้เลือดออกจะเริ่มดีขึ้นภายใน 2-3 วันหลังจากที่อาการไข้เริ่มลดลงและจะค่อยๆ หายไปเองในระยะเวลา 5-7 วัน ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของร่างกายและการดูแลรักษาของผู้ป่วย [1,2]
วิธีดูแลอาการตุ่มหรือผื่นไข้เลือดออก
ผื่นไข้เลือดออกจะค่อยๆ จางลง และหายไปได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องทายา และมักไม่ทิ้งรอยไว้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการเกา หากมีอาการคันมาก ให้รับประทานยาแก้แพ้ หรือทายาแก้คัน เพื่อบรรเทาอาการ [2]
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์
การตรวจวินิจฉัยโรคไข้เลือดออก ในช่วง 1 - 2 วันแรก มักจะไม่พบความผิดปกติ แต่จะพบตั้งแต่วันที่ 3 ของการมีไข้เป็นต้นไป ดังนั้นเมื่อมีไข้จึงควรเช็ดตัว ทานยาลดไข้พาราเซตามอล และเฝ้าดูอาการ หากอาการดีขึ้นอาจเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา แต่หากวันที่ 3 ไข้ยังคงสูงอยู่ ควรไปพบแพทย์ทันที [9]
หรือในกรณีที่พบว่าผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เช่น อาเจียนหลายรอบ ท้องเสีย ปวดท้องมาก ทานอาหารไม่ได้ ไข้ลดลงแต่มีอาการผิดปกติ เช่น ตัวเย็น มือเท้าเย็น เหงื่อออกมาก กระสับกระส่าย หายใจเหนื่อยหอบ ให้รีบพาไปโรงพยาบาล [1,3]
ผู้ป่วยไข้เลือดออกที่ได้รับการวินิจฉัยเร็ว และเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อน ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว [8]
ดังนั้นหากมีไข้สูงต่อเนื่องหลายวัน ทานยาลดไข้แล้วไม่ดีขึ้น มีผื่นแดงขึ้นตามตัว ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคไข้เลือดออก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจประเมินอย่างละเอียด ก่อนเข้าสู่ระยะอันตราย [8]
ที่มาของข้อมูล:
- โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์: “โรคไข้เลือดออก”.
- คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล: “อาการทางผิวหนังในโรคไข้เลือดออก”.
- โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต: “ยุงกัดมากแค่ไหน ถึงจะเป็นไข้เลือดออก”.
- โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์: “โรคไข้เลือดออก ภัยร้ายจากยุงลาย”.
- กรมควบคุมโรค: “ไข้เด็งกี่ (Dengue)”.
- โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา: “ไข้เลือดออก อย่าปล่อยให้เป็นซ้ำ อันตรายถึงชีวิต”.
- โรงพยาบาลตรอน: “ไข้เลือดออก อาการไข้เลือดออก ภัยเงียบคร่าชีวิตคนนับร้อยภายในไม่กี่วัน”.
- RAMA CHANNEL: “อาการโรคไข้เลือดออก รู้ทัน ! สัญญาณเตือน พร้อมวิธีดูแลรักษา”.
- โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน: “ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever)”.
“ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นสำหรับประชาชนเป็นการทั่วไปโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการให้ข้อมูลเท่านั้น ข้อมูลนี้ไม่ควรถูกนำไปใช้เพื่อวินิจฉัยหรือรักษาปัญหาสุขภาพหรือโรคใด ๆ การให้ข้อมูลดังกล่าวนี้ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการทดแทนการปรึกษากับผู้ให้บริการทางการแพทย์ โปรดปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ของท่านสำหรับคำแนะนำเพิ่มเติม”
C-ANPROM/TH/DENV/0765: MAY 2025

