มีแผลจากเจาะเลือดดูน้ำตาลเล็กๆ แล้วไปจับอาหารเหลือที่แมวกินไว้ โอกาสติดเชื้อพิษสุนัขบ้าสูงมั้ยคะ ได้ฉีดวัคซีนกระตุ้นแล้ว 2 เข็ม เข็มสุดท้ายเมื่อวันที่ 22/05/68
จากกรณีที่คุณได้เจาะเลือดและมีแผลเล็ก ๆ แล้วไปจับอาหารของแมวซึ่งกินเหลือไว้ มีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลต่อความเสี่ยงในการติดเชื้อพิษสุนัขบ้าค่ะ:
-
โอกาสติดเชื้อพิษสุนัขบ้า
- การติดเชื้อพิษสุนัขบ้ามักเกิดจากน้ำลายของสัตว์ที่ติดเชื้อเข้าสู่แผลหรือเยื่อเมือกโดยตรง เช่น ถูกกัดโดยสัตว์ หรือเลียบริเวณแผลค่ะ
- สำหรับกรณีที่สัมผัสกับอาหารแมวนั้น ความเสี่ยงในการได้รับเชื้อจะน้อยมาก ยกเว้นว่าอาหารนั้นจะมีน้ำลายของแมวที่ติดเชื้อปนเปื้อนอยู่ และคุณมีแผลเปิดที่สัมผัสโดยตรงค่ะ
-
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัคซีน
- คุณได้ฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าครบ 2 เข็ม โดยเข็มสุดท้ายเมื่อวันที่ 22/05/68 ซึ่งถือว่ายังเป็นระยะเวลาที่วัคซีนยังคงมีผลปกป้องค่ะ นั่นหมายความว่าภูมิคุ้มกันที่คุณมีอยู่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพิษสุนัขบ้าค่ะ
- อย่างไรก็ตาม วัคซีนอาจไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้ออื่น เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย ดังนั้นควรล้างแผลทำความสะอาดอย่างดีค่ะ
-
คำแนะนำในกรณีนี้
- ควรล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ทันที และใช้ยาฆ่าเชื้อโรคทาเพื่อป้องกันการติดเชื้ออื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นค่ะ
- สังเกตสภาพของแมวที่สัมผัส หากเห็นว่ามีอาการผิดปกติ เช่น ก้าวร้าว น้ำลายไหล หรืออ่อนแรง ควรรีบปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อประเมินสถานการณ์ค่ะ
- หากกังวลมาก แนะนำพบแพทย์เพื่อประเมินเพิ่มเติมและตรวจสอบว่าจำเป็นต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นหรือไม่ค่ะ
ในภาพรวม โอกาสที่จะติดพิษสุนัขบ้าจากกรณีนี้น้อยมาก เนื่องจากไม่มีการสัมผัสโดยตรงกับน้ำลายของสัตว์ที่ติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม เพื่อความสบายใจ ควรดูแลแผลและปรึกษาแพทย์ค่ะ
แล้วต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นเพิ่มมั้ยคะ ในกรณนี
กรณีนี้ความจำเป็นในการฉีดวัคซีนกระตุ้นพิษสุนัขบ้าจะขึ้นอยู่กับรายละเอียดเพิ่มเติมและการประเมินโดยแพทย์ค่ะ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรพิจารณาในกรณีนี้คือ:
-
ลักษณะของการสัมผัส: หากไม่ได้สัมผัสน้ำลายของแมวเข้าสู่แผลโดยตรง และแผลเล็กน้อยไม่ได้ลึกมาก โอกาสที่จะติดเชื้อพิษสุนัขบ้าจะค่อนข้างต่ำค่ะ อย่างไรก็ตาม ถ้ารู้สึกไม่แน่ใจว่ามีน้ำลายปนเปื้อนหรือไม่ การปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินเพิ่มเติมจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดค่ะ
-
สถานะวัคซีนปัจจุบัน: คุณได้รับวัคซีนกระตุ้นครบ 2 เข็ม โดยเข็มสุดท้ายเมื่อวันที่ 22/05/68 ซึ่งระยะเวลานี้วัคซีนยังคงสร้างภูมิคุ้มกันปกป้องได้ค่ะ เว้นแต่ว่าจะมีการสัมผัสโดยตรงกับน้ำลายสัตว์ที่มีความเสี่ยง วัคซีนกระตุ้นอาจไม่จำเป็นในกรณีนี้ค่ะ
-
ข้อแนะนำเพิ่มเติม:
- สังเกตแมวที่สัมผัส หากแมวไม่มีอาการผิดปกติ เช่น ไม่ก้าวร้าว น้ำลายไหล หรือมีอาการไม่สบาย โอกาสที่แมวจะติดเชื้อพิษสุนัขบ้าก็จะต่ำค่ะ
- หากแมวมีพฤติกรรมที่สงสัยควรนำสัตว์ไปพบสัตวแพทย์เพื่อประเมินว่าแมวมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อหรือไม่ค่ะ
- ในกรณีที่มีความกังวลสูง คุณสามารถปรึกษาแพทย์เพื่อเสนอการฉีดวัคซีนกระตุ้นเพิ่มเติมได้ค่ะ
ดังนั้น ในภาพรวม แนะนำให้คุณปรึกษาแพทย์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผลและลักษณะการสัมผัส ถือเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดค่ะ การป้องกันตั้งแต่ต้นจะช่วยลดความกังวลและความเสี่ยงได้มากที่สุดค่ะ